In News
เอกชนแตะเบรคสองเมกะโปรเจ็กต์อีอีซี 'พิพัฒน์รับลูกอนุทิน'ลุย'แลนด์บริดจ์ใต้'
กรุงเทพฯ-ลุ้นรัฐบาลอนุทิน ดันสองเมกะโปรเจ็กต์อีอีซี รถไฟความเร็วสูงและเมืองการบินอู่ตะเภา ยังติดหล่ม เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ยาก จะสับเกียร์ห้าเดินหน้าต่อหรือพักไว้แค่นี้ ด้านนายกฯอนุทินประสานเสียง พิพัฒน์ ยันรัฐบาล “อนุทิน” เดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ผนึกกำลังทีมงานภาคใต้ดันเศรษฐกิจ ชี้ที่ผ่านมาเสียโอกาสไปมาก หากไม่เริ่มวันนี้ ก็จะชะลอไปเรื่อย ๆ เสียเวลา 4 เดือนโดยเปล่าประโยชน์ เชื่อ EIA เดินหน้าไปเยอะแล้ว
นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) กล่าวว่า ช่วงที่เปลี่ยนผ่านรัฐบาล ได้หารือกับคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โดยผลการหารือล่าสุดจะรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซีชุดใหม่ก่อน ทั้งนี้ในขณะนี้ถือว่าครบกำหนดการเริ่มงานหรือออก NTP โครงการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 แล้ว
แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จึงต้องขยายเวลาออกไปให้สอดรับอายุรัฐบาลใหม่ที่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน และคาดหวังว่าโครงการจะมีความชัดเจนภายใน 4 เดือนนี้ แต่ถ้าสุดท้ายโครงการยังไม่ชัดเจนก็คงต้องยุติไป แต่ก็เชื่อว่าภาครัฐและเอกชนจะหาทางออกร่วมกันได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
“เราได้ลงทุนไปแล้ว 4,000 กว่าล้านบาท ก่อนหน้านี้เราเสนอแผนจะเดินหน้าก่อสร้างโครงการไปก่อน โดยไม่รอรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพราะตอนนั้นดูแล้ว โครงการไม่มีความคืบหน้าใดๆให้เห็น แต่ตอนนี้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่และล่าสุดโครงการรถไฟความเร็วสูง ที่รอการอนุมัติร่างสัญญาที่มีการปรับแก้ไขใหม่นั้น ได้มีความคืบหน้าจากอัยการสูงสุดแล้ว ขณะเดียวกันทางกองทัพเรือได้เซ็นสัญญาก่อสร้างรันเวย์ที่2 ของสนามบินอู่ตะเภา เท่ากับว่าโครงการต่างๆก็กำลังเดินหน้า รอแค่นโยบายรัฐบาลและบอร์ดอีอีซีชุดใหม่” วีรวัฒน์กล่าว
ปัจจุบันโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท มีบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบมจ.การบินกรุงเทพ (BA) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้เซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ขณะนี้รอ “อีอีซี” ออกหนังสือเริ่มงาน หรือ NTP และรอความชัดเจนของโครงการรถไฟความเร็วสูง รวมถึงทิศทางลมของรัฐบาลใหม่และบอร์ดอีอีซีขุดใหม่ จะปลดล็อกความล่าช้าของรถไฟความเร็วสูงอย่างไร
เพราะต้องยอมรับว่าถ้าหากรถไฟความเร็วสูงไม่มา การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาสู่สนามบินนานาชาติหลักแห่งที่ 3 ของประเทศไทย และศูนย์กลางการบินในระดับภูมิภาค คงยากที่จะเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะสนามบินเองก็ต้องอาศัยผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมโยงการเดินทาง สร้างความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการภายในสนามบินด้วยเช่นกัน
ขณะที่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ซึ่งมีบริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด (กลุ่มซี.พี.) เป็นคู่สัญญารับสัมปทาน 50 ปี หลังเซ็นสัญญาวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการอนุมัติแก้ไขสัญญา เช่น ให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรกในวันที่ลงนามแก้ไขสัญญา , ปรับวิธีการจ่ายเงินค่าก่อสร้าง 125,932.54 ล้านบาท เป็นวิธีสร้างไปจ่ายไป เป็นต้น
พิพัฒน์รับลูกนายกฯสั่งลุยแลนด์บริดจ์1ล้านล้าน
นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เดินหน้าผลักดันเมกะโปรเจกต์ "แลนด์บริดจ์" มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนในระยะยาว โครงการมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าของภูมิภาค โดยเชื่อมทะเลอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเลือกใหม่แทนช่องแคบมะละกา
รัฐบาลเตรียมเปิดประมูลให้เอกชนรายเดียวร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP สัญญาสัมปทาน 50 ปี ภายในปี 2569 โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกได้ในปี 2573
ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยถึงการเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์)
ภายหลังการเปิดตัวทีม อบจ.ชุมพร ของนายชุมพล จุลใส อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ที่มาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ ว่าต้องขอบคุณทีม อบจ.ชุมพร ที่มาร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศของเราต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่พวกเรามีการประสานและรวมตัวกัน เพราะเรามีนโยบายที่จะพัฒนา โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างกรณีโครงการแลนด์บริดจ์ว่าจะเกิดหรือไม่ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็มีการให้สัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป
นายพิพัฒน์ระบุอีกว่า โครงการแลนด์บริดจ์เริ่มต้นจากสมัยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่จะมีการสร้างระบบราง ถนน และระบบท่อ ของ 2 ฝั่งในทะเลอันดามันและอ่าวไทย ซึ่งก็จะเป็นการสร้างอาชีพให้กับคนไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชุมพรและระนองที่จะสามารถจ้างงานเพิ่มขึ้นได้มากมาย จึงถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยตนได้หารือเป็นการส่วนตัวกับนายชุมพล ว่าเราจะมาสานความสำเร็จ และเป็นการพัฒนาจังหวัดของเรา พวกเราต้องช่วยกันคิด และจัดทำอย่างไรให้โครงการนี้ราบรื่นไปได้ จึงเป็นที่มาที่ทำให้เรามาอยู่ด้วยกัน
นายพิพัฒน์ยังกล่าวอีกว่า ตนได้รับหน้าที่ให้พูดคุยกับเพื่อน ๆ พื้นที่ภาคใต้ว่า มีอุดมการณ์มาทำงานร่วมกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคใต้ เพราะที่ผ่านมาเราเสียโอกาสเยอะมาก เพราะพวกเราไม่ได้มีการรวมตัวกัน ซึ่งหากมีการรวมตัวและช่วยกันในเรื่องยุทธศาสตร์ ก็มั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาภาคใต้ได้มากกว่านี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการเดินหน้าโครงการแลนด์บริจด์ที่มีคนไม่เห็นด้วย และขอให้ชะลอโครงการดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะศึกษาผลกระทบ EIA ไม่ทัน
นายพิพัฒน์กล่าวว่า ถ้าเราไม่สานต่อในวันนี้ ก็จะมีการชะลอไปเรื่อย ๆ และโอกาสคงไม่เกิด ซึ่งตนในฐานะที่เป็นคนใต้ในจังหวัดสงขลา และมีบริษัทเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้วิ่งในประเทศไทย ตนก็คิดว่าเรามีความรู้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคำว่าแลนด์บริดจ์คุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ประเทศไทยเป็นผู้ลงทุน แต่ต้องมีการเชิญชวนเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะวันนี้ประเทศไทยไม่พร้อมในเรื่องการกู้ยืมเงิน แต่มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการเชิญชวนให้คนมาใช้ท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง
ส่วนในระยะเวลา 4 เดือนจะสามารถจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ทันหรือไม่นั้น นายพิพัฒน์ระบุว่า เท่าที่ตนได้ทราบมา การสำรวจหรือการทำ EIA น่าจะทำไปได้ไกลแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในการตัดสินใจของรัฐบาลของนายอนุทิน ว่าในระยะเวลา 4 เดือน เรื่องของแลนด์บริจด์เราจะสานต่อหรือไม่ ซึ่งนายอนุทินก็มีการให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างงานอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นงานชิ้นใหญ่
หลังจากที่เรามีโครงการ EEC ไปก่อนหน้านี้ และหลังจากนั้นประเทศไทยยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเราพยายามทำโครงการนี้ให้สำเร็จ และที่สำคัญคือการจะทำให้เป็นตัวเชื่อม SEC ซึ่งเรามีความพร้อม และความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีในการกระตุ้นเศรษฐกิจในในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
นายพิพัฒน์กล่าวต่อว่า แต่หากเราไม่คิดที่จะริเริ่มอะไร 4 เดือนก็จะผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น ขออย่าไปสนใจว่าเป็น 4 เดือนหรือกี่วัน เมื่อเราเข้ามาสิ่งที่ต้องทำ และทำได้มากน้อยขนาดไหน
ถ้าครั้งต่อไปพรรคภูมิใจไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เราจะมาสานต่อนโยบาย แต่หากไม่ได้รับความไว้วางใจก็ขอฝากโครงการที่ดี ๆ หรือโครงการที่จะทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นให้กับรัฐบาลชุดต่อไป พร้อมย้ำว่า นโยบายดังกล่าวเป็นความตั้งใจของพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรี
