In News
'เอกนิติ'ให้ก.คลังตั้งทีมตรวจเงินไหลเข้า ส.ธนาคารฯแจ้งนายกฯแล้วหวั่น'เงินสีเทา'
กรุงเทพฯ-ประธานสมาคมธนาคารไทย เผยการตรวจสอบค่าเงินบาทแข็งและเงินไหลเข้า หวั่นเป็นทุนสีเทา ซึ่งรมว.คลังได้ให้ก.คลังตั้งทีมงานขึ้นมาดูแลร่วมกับภาคเอกชนว่า ตกลงเงินมาจากตรงไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยถึงการตรวจสอบกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่า รวมถึงเงินทุนไหลเข้ามาจำนวนมาก ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นเงินทุนสีเทาว่า สมาคมธนาคารไทย ได้มีการพูดถึงประเด็นนี้แล้ว และได้เรียนนายกรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสิ่งที่ต้องเร่งทำ ก็คือการ Connect the dots" (การเชื่อมโยงจุด)
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนของเงินทุนในรูปแบบต่างๆ ต้องผ่านหลายกลไกในระบบตลาด ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดทั่วไป (Physical) และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ที่เป็นทั้งระบบธนาคารและไม่ใช่ระบบธนาคารไปจนถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงข้อมูล ซึ่งล่าสุด ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามนโยบายของนายกรัฐมตรี ที่บอกให้สั่งวันนี้ ให้ทำเมื่อวานนั้น จึงได้ประสานกับทางทีมที่กระทรวงการคลังให้ Connect the dots" ไว้แล้ว โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางสมาคมธนาคารไทยได้มาฉายภาพให้เห็นและชี้จุดเดียวกัน พบว่า ในเรื่องของค่าเงินมันมีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้ง ปปง. กลต. และก็หน่วยงานต่าง ๆ
โดยเบื้องต้นกระทรวงการคลัง ก็ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปลัดกระทรวงการคลังได้จัดตั้งทีมงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ เพื่อจะได้มีการทำงานร่วมกัน เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมโยงที่ประธานสมาคมธนาคารไทยพูดถึงการเชื่อมโยงให้เห็นว่า ตกลงเงินมาจากตรงไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด โดยหลังจากที่ถวายสัตย์และมีการแถลงนโยบายเสร็จก็จะดำเนินการเรื่องนี้ทันที
นักวิชาการจี้ ธปท. หาต้นตอเงินไหลเข้า-ออก
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะอดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หากทางการและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถอธิบายและเข้าใจ ข้อมูลคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีความคลาดเคลื่อนสูงถึงไตรมาสละ 3-4 พันล้านดอลลาร์ คือ ไม่ทราบชัดเจนถึงเม็ดเงินที่มาที่ไปของเงินไหลเข้าออกย่อมเกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาเงินบาทผันผวนไม่ตรงจุด
การทำความเข้าใจต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลคลาดเคลื่อนนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 3-4 ปีและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนเงินไหลเข้าไหลออกเหล่านี้เป็นเงินสีเทา หรือเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการฟอกเงินหรือไม่ ก็ต้องมีการตรวจสอบและกำกับให้ชัดเจน หรืออาจเป็นเพียงการทำธุรกรรมนอกระบบที่ไม่ผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่โดยตรงของธปท.ต้องประสานความร่วมมือกับ สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงินอาจลดลงได้ด้วยการบันทึกธุรกรรมดุลการชำระเงินในระบบออนไลน์รวมศูนย์ และลดขนาดของการเก็บข้อมูลสถิติจากการสำรวจแบบ Survey Base การทำให้ธุรกรรรมส่วนใหญ่อยู่ในระบบออนไลน์รวมศูนย์จะทำให้เกิดการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น โปร่งใสขึ้น
มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งของการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือการทำธุรกิจสีเทา จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องพัฒนาระบบกฎหมาย ระบบการกำกับควบคุมและกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานของการฟอกเงิน หากไทยตั้งเป้าจะเป็น ศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนในอนาคตจำเป็นต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น
โดยช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายหรือที่ประมาณการเอาไว้ 37,637 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 827,805 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณไป 3,165,629 ล้านบาท มีรายได้ส่งเข้าคลังเพียง 2,248,003 ล้านบาท
สิ่งนี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้าหมาย ผลกำไรของบริษัทต่างๆลดลง มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมาก หากสถานการณ์เก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ และอาจเกิดขึ้นอีกในปีงบประมาณปี 2569 การใช้จ่ายงบประมาณแนวประชานิยมที่ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังต้องไม่เกิดขึ้น เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาฐานะทางการคลังและวิกฤติทางการคลังที่อาจมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม รัฐบาลต้องรักษาพื้นที่ทางการคลังเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในมาตรการหรือโครงการที่จำเป็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเวลานี้ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยในการบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยต่อประชาชนในหลายพื้นที่
แม้จะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าแต่การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าเป้าหมาย เราสามารถเพิ่มรายได้ของรัฐพร้อมเพิ่มการให้บริการประชาชนด้วยการการปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการให้ดียิ่งขึ้น การปฏิรูปต้องทำให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น ทั่วถึงและเพียงพอ ลดภาระการคลัง ลดการผูกขาดโดยรัฐ เพิ่มการแข่งขันโดยเอกชน การปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการจึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร (Allocative Efficiency) และประสิทธิภาพทางเทคนิค (Technical Efficiency) ในการดำเนินกิจการ เพื่อลดภาระทางการคลัง (Fiscal Burden) บรรเทาปัญหาการตั้งราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน (Underpricing)
เมื่อมีการแข่งขันผู้ประกอบการแต่ละรายแข่งขันกันอยู่บนพื้นฐานของต้นทุน นอกจากนี้ การปฏิรูปทำให้เกิดโอกาสของการจัดหาสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่มีคุณภาพดีขึ้น สามารถมีเงินทุนมาลงทุนขยายกิจการให้ทั่วถึงเพียงพอโดยไม่ต้องอาศัยเงินงบประมาณ เป็นการเพิ่มสวัสดิการทางสังคม การปฏิรูปต้องครอบคลุมสามมิติ ปฏิรูปโครงสร้าง ปฏิรูปการกำกับดูแล ปฏิรูปความเป็นเจ้าของ การเปิดเสรีและการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้มีการแข่งขันกันยังสามารถช่วยลดปัญหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นเสมอในระบบเศรษฐกิจ
โดยประชาชน สังคมและระบบเศรษฐกิจไม่ได้ประโยชน์จากการล็อบบี้หรือวิ่งเต้นให้มีออกมาตรการหรือนโยบายที่กลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองได้ประโยชน์แต่เป็นต้นทุนของกลุ่มอื่นๆในสังคม สิ่งนี้มักเกิดขึ้นในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีการผูกขาดสูง การเปิดเสรีและส่งเสริมการแข่งขันจึงช่วยลดปัญหาจากพฤติกรรมการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ
