Think In Truth
GOVERNMENT SHUTDOWNสหรัฐ: ส่งงผลกระทบทั่วโลก โดย: ฟอนต์ สีดำ

เมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 1 ตุลาคม 2025 รัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาต้องหยุดชะงักบางส่วน เป็นการปิดหน่วยงาน (government shutdown) ครั้งแรกในรอบเกือบเจ็ดปี วิกฤตการเมืองครั้งนี้ ซึ่งมีรากฐานจากข้อพิพาทด้านงบประมาณ ส่งผลกระทบไกลเกินกว่ากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยสร้างเงามืดต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ บทความนี้วิเคราะห์สาเหตุ ปัจจัย และผลกระทบหลายมิติของการปิดหน่วยงานต่อสหรัฐ โลก และประเทศไทยโดยเฉพาะ พร้อมเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อให้ประเทศไทยลดความเสี่ยงและคว้าโอกาสท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการเมืองและเศรษฐกิจ การวิเคราะห์นี้เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงของระบบโลกและความจำเป็นในการสร้างความยืดหยุ่นอย่างเชิงรุก
จุดเริ่มต้นของการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐปี 2025
การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เกิดจากความล้มเหลวของสภาคองเกรสในการผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณ (appropriations bills) หรือร่างกฎหมายชั่วคราว (continuing resolution - CR) ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2025 หัวใจของปัญหาคือความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกัน ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และทำเนียบขาว ภายใต้การบริหารสมัยที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะประเด็นงบประมาณสำหรับสวัสดิการสุขภาพภายใต้พระราชบัญญัติการดูแลสุขภาพราคาไม่แพง (Affordable Care Act - ACA หรือ Obamacare)
รีพับลิกัน ซึ่งครองสภาผู้แทนราษฎร (221-214) และวุฒิสภา (53-47) ผลักดันร่าง CR ที่ “สะอาด” โดยปราศจากการขยายเงินอุดหนุน ACA ซึ่งช่วยลดค่าเบี้ยประกันสำหรับชาวอเมริกันราว 22 ล้านคน เงินอุดหนุนนี้เป็นประเด็นถกเถียงทางการเมืองอย่างร้อนแรง รีพับลิกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกลุ่มชาตินิยม “MAGA” และสนับสนุนโดยบุคคลภายนอกอย่างอีลอน มัสก์ ผ่านโครงการ “Department of Government Efficiency” (DOGE) ใช้กระบวนการงบประมาณเพื่อลดขนาดโครงการของรัฐบาล รวมถึงโครงการสำหรับผู้อพยพผิดกฎหมายและกลุ่มชายขอบ นอกจากนี้ ยังผลักดัน “การลดกำลังคน” (reduction in force - RIF) ซึ่งอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานรัฐถาวร ซึ่งขัดต่อกฎหมาย Antideficiency Act และอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมาย
ในทางกลับกัน เดโมแครตปฏิเสธร่าง CR ของรีพับลิกันโดยไม่มีข้อรับรองสำหรับเงินอุดหนุน ACA โดยกล่าวหาว่ารีพับลิกันจับรัฐบาลเป็นตัวประกันเพื่อรื้อ Obamacare การผ่านร่างงบประมาณในวุฒิสภาต้องการคะแนน 60 เสียง แต่รีพับลิกันมีเพียง 53 เสียง ทำให้ต้องพึ่งพาความร่วมมือจากเดโมแครต ซึ่งไม่ยอมให้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน การสนับสนุนของทรัมป์ที่ระบุว่า “การปิดหน่วยงานสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม” กระตุ้นให้รีพับลิกันสายแข็งยิ่งยึดมั่น คล้ายกับการปิดหน่วยงาน 35 วันในปี 2018-2019 ซึ่งสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความขัดแย้งนี้สะท้อนข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างในรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งแยกอำนาจระหว่างสภาและฝ่ายบริหาร การควบคุม “กระเป๋าสตางค์” ของสภาคองเกรสปะทะกับลำดับความสำคัญของทำเนียบขาว โดยกฎ filibuster ในวุฒิสภาทำให้เกิดการหยุดชะงักทางการเมืองได้ง่าย สถานการณ์นี้คล้ายกับการปิดหน่วยงานในปี 1995-1996 (21 วัน) และ 2013 (16 วัน) ความเปราะบางทางเศรษฐกิจในปี 2025 ซึ่งมีเงินเฟ้อสูง (CPI 3.8% ในสิงหาคม) การจ้างงานชะลอตัว (JOLTS รายงานการจ้างงานลดลง 114,000 ตำแหน่ง) และนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ ทำให้การปิดหน่วยงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางการเมือง แต่เสี่ยงกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกา
การปิดหน่วยงานครั้งนี้เป็นแบบ “บางส่วน” ส่งผลกระทบต่อพนักงานรัฐบาลราว 2.1 ล้านคน โดย 750,000-900,000 คนถูกพักงาน (furlough) โดยไม่ได้รับเงินเดือน (แต่จะได้รับเงินย้อนหลังเมื่อหน่วยงานเปิด) บุคลากรที่จำเป็น เช่น ทหาร ตำรวจ FBI และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ยังคงทำงานโดยไม่ได้รับเงินทันที ซึ่งสร้างความตึงเครียดด้านการเงินและขวัญกำลังใจ สำนักงานงบประมาณสภาคองเกรส (CBO) คาดว่า GDP จะลดลง 0.1-0.2% ต่อสัปดาห์ คล้ายกับความสูญเสีย 11,000 ล้านดอลลาร์ (รวม 3,000 ล้านดอลลาร์ที่ไม่สามารถกู้คืน) จากการปิดหน่วยงานปี 2018-2019 หากยืดเยื้อ จะเพิ่มอัตราการว่างงานชั่วคราว โดยเฉพาะในรัฐอย่างโอเรกอน (พนักงานรัฐ 30,000 คน) และวอชิงตัน (3,700 คนถูกพักงาน)
บริการสาธารณะหยุดชะงัก: อุทยานแห่งชาติอาจปิดหรือเปิดโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ (เสี่ยงต่อการทำลายทรัพย์สิน) การตรวจสอบอาหารของ FDA หยุดลง การออกพาสปอร์ตและวีซ่าช้าลง สนามบินอาจล่าช้าเนื่องจากการควบคุมจราจรทางอากาศลดประสิทธิภาพ และศาลอาจเลื่อนคดีที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง หากยาวนาน โครงการอย่าง WIC (โภชนาการสำหรับครอบครัวรายได้ต่ำ) และการปรับเงินประกันสังคมจะล่าช้า ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง การระงับข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงาน (BLS) เช่น รายงานการจ้างงาน (3 ตุลาคม) และ CPI ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 28-29 ตุลาคมได้ยาก เสี่ยงต่อความผิดพลาดด้านนโยบายการเงิน
ทางการเมือง การปิดหน่วยงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ของทรัมป์ในการลดขนาดรัฐบาล แต่เสี่ยงต่อการต่อต้านจากประชาชน โพลแสดงว่า 59% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอิสระคัดค้านการปิดหน่วยงาน ซึ่งอาจช่วยเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026 อย่างไรก็ตาม เดโมแครตเสี่ยงถูกมองว่าเป็นฝ่ายขัดขวางหากยืดเยื้อการเจรจา ผลกระทบที่กว้างขึ้นคือการลดความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อการปกครอง ซึ่งยิ่งทำให้ความแตกแยกในสหรัฐรุนแรงขึ้น
ผลกระทบต่อโลก
ในฐานะเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก (GDP 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) การปิดหน่วยงานของสหรัฐส่งผลกระทบต่อตลาดและการเมืองโลก การหดตัวของ GDP สัปดาห์ละ 0.1-0.2% อาจลดการเติบโตของโลก 0.05% ต่อเดือน ตามการประเมินของ IMF โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการค้า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน เช่น การตรวจสอบการส่งออกของ FDA ส่งผลกระทบต่อการค้าอาหารและยา การขาดข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเพิ่มความผันผวนในตลาดเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพาการค้าสหรัฐเผชิญความเสี่ยงสูง โดยดัชนี Stoxx 600 ของยุโรปแสดงความผันผวนในช่วงแรก (+0.1% เมื่อ 1 ตุลาคม แต่มีแนวโน้มลดลง)
ด้านการทูต สถานทูตสหรัฐอาจลดบริการที่ไม่จำเป็น เช่น การออกวีซ่า (แม้ว่าสถานทูตสหรัฐในอินเดียยืนยันให้บริการต่อ) การดำเนินการทางทหารยังคงไม่กระทบ แต่หากยืดเยื้ออาจทำให้พันธมิตรอย่าง NATO หรือความช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยอ่อนแอ โครงการ DOGE ของทรัมป์ หากตัดความช่วยเหลือต่างประเทศ อาจลดอิทธิพลทางอ่อน (soft power) ของสหรัฐ ทำให้คู่แข่งอย่างจีนได้เปรียบในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การปิดหน่วยงานย้ำภาพลักษณ์ว่าสหรัฐ “ไร้สมรรถภาพ” ซึ่งอาจกระตุ้นการหยุดชะงักทางการเมืองแบบประชานิยมในประเทศอื่นๆ
ความเสี่ยงของประเทศไทย
ประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรนอก NATO ที่สำคัญและคู่ค้าอันดับหนึ่งของสหรัฐในอาเซียน เผชิญความเสี่ยงที่ซับซ้อนแต่มีนัยสำคัญ การค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่า 81,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 โดยไทยส่งออก 63,300 ล้านดอลลาร์ (16-18% ของการส่งออกทั้งหมด) ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (40% ของการส่งออกไปสหรัฐ) ยางพารา สิ่งทอ และอาหารทะเล หากการปิดหน่วยงานยืดเยื้อ อาจลดความต้องการของผู้บริโภคสหรัฐ (จากพนักงานรัฐ 750,000-900,000 คนที่ถูกพักงาน) ทำให้การส่งออกของไทยลดลง 0.5-1% ในไตรมาส 4/2025 ภาษีนำเข้า 19% ของทรัมป์ที่เริ่มใช้ในเดือนสิงหาคม 2025 ภายใต้ Reciprocal Trade Act ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ยากขึ้น และการปิดหน่วยงานยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนโดยการชะลอการตรวจสอบนำเข้าที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ
เงินบาท ซึ่งซื้อขายที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อาจอ่อนค่าลงเป็น 34-35 บาท เพิ่มต้นทุนการนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบ การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) จากบริษัทสหรัฐ เช่น Ford และ Intel ซึ่งคิดเป็น 10-15% ของ FDI ในไทย เผชิญความไม่แน่นอนหากการปิดหน่วยงานทำให้การขยายโรงงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ชะลอตัว ดัชนี SET อาจลดลง 1-2% ในช่วงแรก คล้ายกับการลดลง 3% ในปี 2018-2019 แต่หากแก้ไขได้เร็ว ตลาดจะฟื้นตัว
การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทย (20% ของ GDP) มีความเปราะบาง สหรัฐเป็นตลาดท่องเที่ยวอันดับสาม (1 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ 100,000 ล้านบาท) อาจเห็นนักท่องเที่ยวลดลง 10-20% จากการชะลอวีซ่าและรายได้ที่ลดลงของพนักงานรัฐ ชาวไทยในสหรัฐ 300,000 คน รวมถึงนักเรียน 30,000 คน อาจเผชิญปัญหาการเงิน ลดการส่งเงินกลับ (remittances คิดเป็น 5-7% ของทั้งหมด) บริการกงสุล เช่น การออกวีซ่าสหรัฐในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ อาจล่าช้า ส่งผลต่อแผนการเดินทางของคนไทย
ด้านยุทธศาสตร์ ความเป็นพันธมิตรทางทหารของไทยกับสหรัฐ ผ่านสนธิสัญญาความสัมพันธ์และเศรษฐกิจ (1966) และการซ้อมรบ Cobra Gold ยังคงมั่นคง เนื่องจากกองทัพสหรัฐเป็นหน่วยงานที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม การตัดความช่วยเหลือต่างประเทศหรือกองทุน IMET อาจลดขีดความสามารถด้านความมั่นคงในทะเลจีนใต้ ทำให้สมดุลอำนาจในอาเซียนเปลี่ยนไป การปิดหน่วยงาน ประกอบกับภาษีนำเข้า อาจทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียด ต้องใช้การทูตที่ระมัดระวัง
การตอบสนองเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทย
ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีระกูล ประเทศไทยต้องใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงและคว้าโอกาส การตอบสนองควรสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การสนับสนุนสังคม และความคล่องตัวทางการทูต
มาตรการทางเศรษฐกิจและการค้า
1. กระจายตลาดส่งออก: เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปและ RCEP เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐให้ต่ำกว่า 15% คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ควรจัดสรรงบ 50,000 ล้านบาท สนับสนุน SME ในภาคอิเล็กทรอนิกส์และเกษตรเพื่อเจาะตลาดจีนและอินเดีย ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Alibaba และงานแสดงสินค้า
2. บริหารค่าเงินและสภาพคล่อง: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% และใช้ทุนสำรอง 220,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อรักษาค่าเงินบาทให้ต่ำกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) สามารถให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่นักส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีและการปิดหน่วยงาน โดยตั้งกองทุน 10,000 ล้านบาท
3. กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน: ใช้จ่ายงบประมาณปี 2026 จำนวน 200,000 ล้านบาทในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟใน EEC และท่าเรือ เพื่อเพิ่ม GDP 2.5-3% และชดเชยการสูญเสียจากการส่งออก สิ่งจูงใจทางภาษีสำหรับภาคการผลิตสามารถรักษาโมเมนตัมของ EEC
มาตรการทางสังคมและการท่องเที่ยว
1. เสริมสร้างการท่องเที่ยว: เปิดตัวแคมเปญ “Amazing Thailand” มุ่งเป้าตลาดเอเชีย (จีน ญี่ปุ่น) และยุโรป ด้วยงบประชาสัมพันธ์ 10,000 ล้านบาท และลด VAT สำหรับโรงแรมและสายการบิน 5% การขยายวีซ่าฟรีสำหรับตลาดหลักสามารถชดเชยการลดลงของนักท่องเที่ยวสหรัฐ
2. ช่วยเหลือชุมชนไทย: จัดตั้งกองทุน 1,000 ล้านบาทผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อช่วยครอบครัวไทยในสหรัฐที่ได้รับผลกระทบ แพลตฟอร์มโอนเงินดิจิทัล เช่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย ควรวลดค่าธรรมเนียมเหลือ 1%
มาตรการทางการทูตและความมั่นคง
1. การเจรจาระดับสูง: ส่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคลัง เจรจากับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อขอผ่อนผันภาษีนำเข้า ภายใต้กรอบ TIFA เน้นย้ำความพยายามลดดุลการค้าของไทยเพื่อให้ได้ moratorium
2. เสริมสร้างพันธมิตร: ขยายการซ้อมรบ Cobra Gold ปี 2026 โดยเชิญญี่ปุ่นและออสเตรเลีย เพื่อรักษาความมั่นคงในภูมิภาคท่ามกลางความไม่แน่นอนของสหรัฐ เสริมความร่วมมือในอาเซียนเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลจีน
3. ติดตามสถานการณ์: ตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ (ขยายจากโมเดลมกราคม 2025) เพื่อติดตามพัฒนาการแบบเรียลไทม์และปรับกลยุทธ์ รับประกันความคล่องตัวในนโยบายการค้าและการลงทุน
สรุป: การนำทางท่ามกลางความปั่นป่วน
การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในปี 2025 แม้จะมีรากฐานจากความขัดแย้งทางการเมืองภายใน แต่ย้ำเตือนถึงความเปราะบางของความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจโลก สำหรับประเทศไทย ความเสี่ยง—การลดลงของการส่งออก การท่องเที่ยว และความผันผวนของค่าเงิน—มีจริงแต่จัดการได้ด้วยมาตรการเชิงรุก การกระจายตลาด การรักษาเสถียรภาพการเงิน และการทูตที่ว่องไว จะช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้และแข็งแกร่งขึ้น การปิดหน่วยงาน ซึ่งน่าจะคลี่คลายภายในกลางเดือนตุลาคมด้วยร่าง CR ชั่วคราว เป็นสัญญาณเตือนให้ไทยลดการพึ่งพาตลาดเดียวและเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ ขณะที่โลกจับตาความไร้สมรรถภาพของวอชิงตัน การตอบสนองของประเทศไทยจะกำหนดทิศทางในระเบียบโลกที่ไม่แน่นอนมากขึ้น
แหล่งอ้างอิง
1. Congressional Budget Office. (2019). The Effects of the Partial Shutdown Ending in January 2019. https://www.cbo.gov/publication/55051
2. U.S. Trade Representative. (2024). 2024 National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers. https://ustr.gov/sites/default/files/2024%20NTE%20Report.pdf
3. International Monetary Fund. (2025). World Economic Outlook Update, July 2025. https://www.imf.org/en/Publications/WEO
4. Bank of Thailand. (2025). Economic and Financial Statistics, August 2025. https://www.bot.or.th/en/statistics/economic-and-financial-statistics.html
5. U.S. Embassy Bangkok. (2025). Bilateral Relations Fact Sheet.
https://th.usembassy.gov/passports/important-passport-information/