Travel Sport & Entertain
'พัฒนาคน-พัฒนาพื้นที่'ยกระดับห่วงโซ่ กาแฟคุณภาพสู่การดูแลป่าลุ่มน้ำแม่กวง

ลุ่มน้ำแม่กวง แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงผู้คนในพื้นที่มายาวนาน มีอาณาเขตครอบคลุมตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ตำบลเทพเสด็จ ตำบลป่าเมี่ยง ตำบลเชิงดอย ตำบลลวงเหนือ ตำบลสง่าบ้าน อำเภอดอยสะเก็ด และตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งปลูกกาแฟอราบิก้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย แต่ในช่วงที่ผ่านมาพื้นที่แห่งนี้ต้องเผชิญปัญหาปริมาณและคุณภาพผลผลิตกาแฟที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างปรากฏการณ์เอนโซ่ (เอลนีโญและลานีญา) และข้อจำกัดด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยีของเกษตรกรในการพัฒนากาแฟให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด
นายสุริยนต์ สูงคำ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และคณะวิจัยโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและยกระดับมูลค่ากาแฟพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชนเกษตรกรรมเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง จังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จึงนำเทคโนโลยีพร้อมใช้และองค์ความรู้ที่เหมาะสมผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นมาถ่ายทอดให้กับคนในชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตกาแฟอย่างเป็นระบบ ยกระดับห่วงโซ่กาแฟคุณภาพ ไปพร้อมกับการอนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน ผ่านกระบวนการ Learning and Innovation Platform (LIP)
สร้างความตระหนักด้วยวิทยาศาสตร์อย่างง่าย
บ้านห้วยน้ำกืน ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญของลุ่มน้ำแม่กวง มีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนานกว่า 45 ปี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทำให้วิธีการดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ผลไม่เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อีกต่อไป โดยเฉพาะการทำเกษตรที่พึ่งพาประสบการณ์และการลองผิดลองถูก (Trial & Error) อาทิ การใช้ปุ๋ยสูตรสำเร็จ (15-15-15) ตามความเคยชิน หรือตามคำแนะนำของเพื่อนบ้าน โดยขาดความเข้าใจที่แท้จริงว่า ดินและพืชในแปลงของตนต้องการธาตุอาหารชนิดใดในปริมาณเท่าไหร่ ทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่จำเป็นและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญในการรักษาและยกระดับคุณภาพผลผลิตกาแฟ
การดำเนินงานในพื้นที่ของคณะวิจัยจึงไม่ใช่เพียงการสนับสนุนทางวิชาการ แต่เป็นการประสานความร่วมมือกับชุมชนในฐานะภาคีเครือข่าย โดยมุ่งเน้นการเสริมศักยภาพของเกษตรกรผ่านกระบวนการ “วิทยาศาสตร์อย่างง่าย” และ “เทคโนโลยีพร้อมใช้” แทนการนำเสนอเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก ซึ่งหลักการสำคัญของการทำงานร่วมกับชุมชน คือ การสร้างความเข้าใจผ่านกระบวนการเรียนรู้บนฐานชุดข้อมูล (Data-Driven Learning) ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถทำความเข้าใจเหตุและผลการทำเกษตรอย่างมีหลักการ เพื่อให้สามารถปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการ (1) ใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือ วิเคราะห์รวบรวมข้อมูลและนำเสนอผลเป็นรายแปลง อาทิ การวิเคราะห์ค่าดินในรูปแบบชุดสีที่เข้าใจง่าย (สีแดง: ระดับอันตราย) เพื่อให้ชาวบ้านที่ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และเกิดความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่คณะวิจัยนำเข้าไป (2) เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ (Learning By Doing) โดยให้เกษตรกรเรียนรู้และลงมือปฏิบัติพร้อมกับคณะวิจัยในแปลงทดลอง เป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ (Learning Space) เพื่อให้เกษตรกรสามารถวิเคราะห์ ติดตามผล ที่นำไปสู่การ “รับ-ปรับ-ใช้” องค์ความรู้ อีกทั้งยังทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของในกระบวนการเรียนรู้และภูมิใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นร่วมกัน (3) ทบทวนและประเมินผลหลังปฏิบัติงาน (After Action Review: AAR) ร่วมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์การผลิตกาแฟในแปลงของตนเอง พร้อมปรับแนวทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงอย่างทันท่วงที
ผู้ช่วยศาสตร์จารย์วิสูตร อาสนวิจิตร หัวหน้าโครงการย่อยที่ 1 อธิบายเพิ่มเติมว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ “สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยยะสำคัญ” ให้ชุมชนได้รับรู้ว่า การยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติเดิมย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์เดิมหรือถดถอยลง แต่เป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าการพัฒนาคุณภาพผลผลิตกาแฟ คือ การอนุรักษ์พื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง ที่เปรียบเสมือนบ้านของชาวบ้านและคณะวิจัยให้คงความอุดมสมบูรณ์ต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน
ปั้นคน ปั้นความรู้ สร้างนวัตกรชุมชน
นอกจากการปรับทัศนคติของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้บนฐานชุดข้อมูล (Data-Driven Learning) แล้ว หัวใจของความสำเร็จที่ยั่งยืนอีกอย่างหนึ่ง คือ การสร้าง “นวัตกรชุมชน” ให้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดและขยายผลเทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง ที่ไม่ได้มองเกษตรกรเป็นเพียงผู้รับการถ่ายทอด แต่มองพวกเขาเป็น “หุ้นส่วน” สำคัญในการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ เพื่อให้องค์ความรู้ฝังรากลึกในชุมชนแม้โครงการวิจัยจะสิ้นสุดลง สำหรับกระบวนการคัดเลือกและพัฒนานวัตกร เริ่มต้นจากการลงพื้นที่เพื่อประเมินศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรแต่ละราย โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ ประสบการณ์ในการทำกาแฟ ความสามารถในการชิมและประเมินรสชาติกาแฟของตนเอง และระดับความพร้อมในการรับ-ปรับ-ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้สามารถจำแนกเกษตรกรออกเป็นนวัตกรในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับต้นไปจนถึงระดับสูงได้
นายภูเมธ ภูมิธันเมธ คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบ้านห้วยน้ำกืน ที่ยกระดับตนเองขึ้นเป็นนวัตกรระดับสี่ที่สามารถ “รับ-ปรับ-ใช้-ขยายผล” องค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็น “นายสถานี” ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกาแฟให้กับเกษตรกรรายอื่นได้ อาทิ การเลือกสายพันธุ์กาแฟที่ตลาดต้องการ การเตรียมแปลงปลูก ไปจนถึงการให้คำแนะนำเชิงลึกในการจัดการโรคและแมลง และด้วยทักษะการชิมและประเมินรสชาติกาแฟ (Cupping Test) ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นผู้ชิมและประเมินคุณภาพกาแฟ (Q-Grader) จึงสามารถให้ข้อเสนอแนะในเรื่องจุดเด่นและข้อบกพร่องของกาแฟที่ชิมได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถวิเคราะห์ย้อนกลับไปได้ถึงกระบวนการดูแลแปลงและการแปรรูป แต่สำคัญที่สุด คือ พื้นที่ปลูกกาแฟของนายภูเมธได้กลายเป็น ศูนย์เรียนรู้ที่มีชีวิต หรือพื้นที่ต้นแบบที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการผลิตกาแฟคุณภาพไว้อย่างครบวงจร เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงานการผลิตกาแฟคุณภาพของพื้นที่ได้
“การเข้าร่วมโครงการได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทั้งในมิติส่วนตัวและบทบาทต่อชุมชน การมีข้อมูล Big Data และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จากโครงการวิจัยเข้ามาสนับสนุน ทำให้สามารถอธิบายเรื่องราวและกระบวนการผลิตกาแฟเชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ นำไปสู่คุณภาพผลผลิตที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน โดย “คุณค่าที่แท้จริง” ที่ได้รับจากโครงการนี้ คือการได้เผยแพร่และส่งต่อความรู้ให้กับคนในชุมชนเพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน ความสำเร็จในการสร้างนวัตกรชุมชนเช่นนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนบุคคล แต่ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศป่าต้นน้ำ”
ติดตั้งเทคโนโลยี พลิกคุณค่าเมล็ดกาแฟ สู่มูลค่าที่เพิ่มขึ้น
กล่าวได้ว่า คณะวิจัยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถกาแฟท้องถิ่นให้เป็นกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ด้วยการนำเทคโนโลยีที่เรียบง่ายเข้าไปหนุนเสริมฐานทุนความรู้เดิมของชุมชน ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต พร้อมทั้งแก้ไข Pain Point ได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที โดยอาศัยกระบวนการ Learning and Innovation Platform (LIP) ที่เน้นการมีส่วนร่วมของเกษตรกรผ่านการทำแปลงสาธิตและการติดตามผลทั้ง 8 ด้าน ได้แก่
(1) กระบวนการจัดการดินและน้ำเฉพาะที่ (Specific Area) โดยการตรวจวิเคราะห์ดิน และจัดทำแปลงสาธิตปรับปรุงความเป็นกรดดิน ช่วยลดต้นทุนจากการใส่ปุ๋ยที่ไม่จำเป็น และทำให้ต้นกาแฟแข็งแรงทนทานต่อโรค ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น
(2) การอนุรักษ์ดินและน้ำในแปลงกาแฟ
(3) กระบวนการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟผลสุกเต็มที่ จัดทำอุปกรณ์เทียบสีความสุกเมล็ดกาแฟให้กับเกษตรและแรงงานนอกพื้นที่ที่เข้ามารับจ้างเก็บผลผลิต
(4) กระบวนการแปรรูปกาแฟพิเศษและการทดสอบรสชาติกาแฟ
(5) เทคโนโลยีการติดตามสภาพอากาศต่อการผลิตกาแฟ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรในการเตรียมป้องกันการระบาดของโรคและแมลงสำคัญของกาแฟได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์
(6) เทคโนโลยีการติดตามสภาพอากาศโรงตากกาแฟ ที่มีการตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ปลูกและโรงตากกาแฟ ซึ่งประกอบด้วย ระบบเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น 4 จุด ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียงและไฟเมื่อเกิดสภาวะไม่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาเชื้อราที่เกิดจากการตากที่ไม่ได้มาตรฐาน ช่วยรักษาคุณภาพและสีสันของสารกาแฟ (Green Bean) ให้สวยงามสม่ำเสมอ
(7) ระบบบัญชีอย่างง่าย ที่ทำให้เกษตรกรได้เห็นต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของตนเอง เพื่อให้ตระหนักถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่แท้จริง
(8) กระบวนการนำเสนออัตลักษณ์กาแฟคุณภาพ โดยการพัฒนาแบรนด์และบรรจุภัณฑ์
การนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ส่งผลให้เกิดมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของกาแฟตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตอย่างชัดเจน จากเดิมที่ขายเชอร์รี่กาแฟได้เพียง 25 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อแปรรูปเป็นสารกาแฟ (Green Beans) ที่มีคุณภาพจะสามารถขายได้ในราคา 500 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นจากต้นทุน 5-6 เท่า) และมูลค่าจะยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อนำไปทำกาแฟคั่วและสร้างแบรนด์ของตนเอง โดยสามารถทำราคาได้ถึง 2,000 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ การสร้างกลไกเชื่อมโยงตลาดกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่เกิดการ Matching กับกลุ่มสหายกาแฟซึ่งเป็นนักชิมและเจ้าของร้านกาแฟในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมการประเมินรสชาติ (Cupping Test) ทำให้ผู้ซื้อได้ชิมผลผลิตกาแฟจากพื้นที่วิจัยโดยตรง จากเดิมที่ขายได้เพียงหลักร้อยก็สามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 10 เท่า
ยิ่งไปกว่านี้ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟพิเศษบ้านห้วยน้ำกืนยังได้สร้างกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่จูงใจให้เกษตรกรเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็น (1) การกำหนดมาตรฐานคุณภาพเชอร์รี่กาแฟ สำหรับเกษตรกรบางรายที่ยังไม่พร้อมเข้าสู่กระบวนการแปรรูป โดยมีการประเมินคุณภาพเชอร์รี่กาแฟระดับความสุก 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วรับซื้อผลเชอร์รี่ที่ได้ตามมาตรฐานกลุ่มในราคาสูงกว่าตลาด จากเดิม 25 บาทต่อกิโลกรัม อาจเพิ่มเป็น 30 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) การรับซื้อกาแฟกะลามาตรฐานที่ผ่านกระบวนการ Natural Process ในราคาสูงถึง 300 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาตลาดทั่วไปอยู่ที่ 180 บาทต่อกิโลกรัม โดยการให้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาดนี้เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรรายอื่นหันมาใส่ใจคุณภาพ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ “คุณภาพนำราคา” เพื่อยกระดับมาตรฐานผลผลิตกาแฟในชุมชน
คุณค่าที่มากกว่าเมล็ดกาแฟ
กล่าวได้ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์กาแฟเป็นผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากความร่วมมือของภาคีเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำแม่กวง ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย ชุมชน เกษตรอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพระสงฆ์ เพราะพื้นที่ปลูกกาแฟแห่งนี้คือ ป่าต้นน้ำที่สำคัญของชุมชน จึงเกิดเป็นแนวคิด “กาแฟรักษ์ป่า” โดยนายภูเมธได้อธิบายว่า แนวคิดนี้เกิดจากวิถีชีวิตของคนในชุมชนที่พึ่งพาอาศัยทรัพยากรป่ามายาวนาน การปลูกกาแฟอราบิก้าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่จึงเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรต้องอนุรักษ์ไม้ใหญ่และสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เพื่อดึงดูดสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เข้ามาอาศัย ขณะเดียวกันการดูแลไร่กาแฟและการทำฝายชะลอน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ยังช่วยสร้างความชุ่มชื้นและป้องกันไฟป่า ซึ่งเป็นการปกป้องผืนป่าต้นน้ำโดยรอบอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับการให้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิสูตร กล่าวเสริมว่า การมีภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งทำให้พื้นที่ปลูกกาแฟแห่งนี้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งนำไปสู่การขยายผล (Scale Up) ทั้งการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนทั้งตัวนวัตกรและพื้นที่รับรู้ว่าการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพคือ กลไกที่สำคัญที่สุดในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะเดียวกัน หลายหน่วยงานในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการก็ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาเทคโนโลยีและกระบวนการทำงาน ร่วมมือกับยุวชนอาสาในการปลูกกาแฟขั้นบันได โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่มีนโยบายส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และผลักดันให้ไร่กาแฟของคุณภูเมธเป็นแหล่งนำร่องด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อีกทั้งยังทำให้สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนาจำกัด รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ ที่รับผลผลิตของเกษตรกรในพื้นที่สามารถขยายการจำหน่ายต่อไปได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิสูตร เน้นย้ำว่า สิ่งที่ย้อนกลับมาสู่คณะวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา คือ การบรรลุพันธกิจของการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชน ที่สามารถเชื่อมโยงชุมชนเข้าสู่ภาคการศึกษา ด้วยการลบภาพงานวิจัยที่ว่าเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ กลายเป็นงานวิจัยที่นำมาใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ได้จริง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่คุณภาพกาแฟ แต่เป็นคุณค่าของเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ใช้ไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชน แต่เป็นการเสริมและอุดรอยรั่ว และคงไว้ซึ่งเสน่ห์และความสวยงามของภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้กาแฟมีคุณค่ามากกว่าคุณภาพ จากเรื่องราวการอนุรักษ์ธรรมชาติและความสวยงามเชิงพื้นที่ที่ผู้บริโภคสามารถสืบหาต้นตอของแหล่งผลิตกาแฟได้
“ความผูกพันของภาคีเครือข่ายลุ่มน้ำแม่กวงเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานวิจัยเชิงพื้นที่ แม้ว่าโครงการวิจัยจะสิ้นสุดลง แต่การขับเคลื่อนในพื้นที่ยังคงมีอยู่ตลอดไป ผ่านสายสัมพันธ์ของผู้คนภายใต้เป้าหมายและองค์ความรู้ที่หยั่งรากลึกลงในชุมชน ซึ่งความท้าทายต่อไป คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถขยายองค์ความรู้และผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นนี้ไปสู่เกษตรกรในวงกว้างให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างผลกระทบในระดับที่ใหญ่กว่าเดิมให้กับอุตสาหกรรมกาแฟไทย” นายสุริยนต์ หัวหน้าโครงการฯ กล่าวทิ้งท้าย