Digitel Tech & AI

อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เปิดทางใหม่ ดันไทยให้อยู่บนแผนที่AI Hubโลก



กรุงเทพฯ-AI กำลังเปลี่ยนโลกในทุกมิติ ในขณะที่ทุกประเทศในเอเชียเวลานี้ต่างแข่งขันกันเพื่อให้ตัวเองก้าวไปเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI คำถามที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ "AI จะมาเปลี่ยนทุกอุตสาหกรรมได้จริงหรือ?" แต่ยังเกิดการตั้งคำถามว่า "ประเทศใด ที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมไปสู่การเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?" สำหรับประเทศไทย นี่คือโอกาสสำคัญที่เราจะพลาดไม่ได้ โอกาสที่เราจะใช้จุดแข็งที่มีอยู่ ผลักดันตัวเองให้ก้าวไปสู่เป้าหมายอันดับหนึ่งของอาเซียน ด้วยการเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลหลักของ AI

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของการก้าวสู่ยุคดิจิทัล ตอนนี้เรามีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้บริการอยู่มากกว่า 55 แห่ง [1] นอกจากนั้นยังมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางอาเซียน, เครือข่ายเคเบิลใต้น้ำที่แข็งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่พร้อมสนับสนุนการลงทุน พื้นฐานเหล่านี้ทำให้ฐานรากของเรามีความพร้อมสูงมาก และแข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สอดคล้องกับข้อมูลจาก DC Byte [2] ที่ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกำลังไฟฟ้าที่สามารถรองรับ IT Workload กว่า 2.5 กิกะวัตต์ ทำให้กรุงเทพฯ ​ขึ้นมาเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาครองจากรัฐยะโฮร์ ของมาเลเซีย และที่น่าสนใจมากกว่านั้น คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพุ่งไปที่ 500 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าสามเท่าของตัวเลขกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ ปัจจุบันที่มีอยู่ราว 157 เมกะวัตต์ การเติบโตเหล่านี้ล้วนเป็นฐานสำคัญที่สนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคทั้งในด้านการประมวลผลและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

AI ขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องแล็บอีกต่อไป วันนี้ AI เปลี่ยนชีวิตประจำวันและปรับโฉม เพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเงิน, โลจิสติกส์, การวินิจฉัยโรค ไปจนถึงการผลิตชั้นสูง AI กำลังผลักดันความต้องการพลังงานสำหรับการประมวลผลให้สูงขึ้นไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้สร้างความท้าทายทั้งเรื่องการใช้พลังงานและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับประเทศที่สามารถสร้างไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมรับอนาคตได้

รับมือความท้าทายด้านพลังงานและความร้อนที่เกิดจาก AI

การประมวลผล AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งแร็ค (Rack) เซิร์ฟเวอร์ AI ประสิทธิภาพสูงเพียงแร็คเดียวสามารถใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 30 กิโลวัตต์ [3] เทียบได้กับการใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือน 30-50 หลังคาเรือน และในอนาคตตัวเลขนี้อาจพุ่งไปที่ 100 กิโลวัตต์ต่อแร็ค

การใช้พลังงานระดับนี้สร้างความร้อนมหาศาล และโดยเฉพาะท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทยยิ่งเป็นความท้าทาย ซึ่งระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิมถึงขีดจำกัด และจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาจัดการ ทั้งนี้ Gartner ยกให้เทคโนโลยี "Liquid-Cooled” เป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2025 [4] ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีนี้จะมีบทบาทสำคัญในดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่แน่นอน

ทำไม Liquid Cooling จึงสำคัญ?

เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวจะทำหน้าที่ดูดซับความร้อนจากตัวชิปประมวลผลได้โดยตรงด้วยของเหลวพิเศษ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนสูงกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมถึง 1,000 เท่า [5] เทคโนโลยีนี้รองรับการประมวลผล AI ที่สร้างความร้อนสูง โดยใช้ของเหลวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบทำความเย็นแบบเดิม และยังยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ด้วยเทคนิคการจัดการอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“Liquid Cooling ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีจัดการความร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย จากข้อมูลของ Statista คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ความต้องการกำลังไฟฟ้าสำหรับ AI workload ทั่วโลกเพียงอย่างเดียว จะเพิ่มขึ้นเป็น 156 กิกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าของปี 2025 [6] การมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูง จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI พร้อมรักษาความยั่งยืน ด้านพลังงานไปพร้อมกัน" คุณทิวา เพ็ชรรัตน์ รองประธานกรรมการ บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าว

เพิ่มประสิทธิภาพให้หลาย ๆ อุตสาหกรรม

ประสิทธิภาพของ Liquid Cooling ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโครงสร้างพื้นฐาน การทำให้ AI Workload  ทำงานได้เต็มสมรรถนะอย่างต่อเนื่องนั้นเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคส่วน อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับการทุจริต การประเมินความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ และการตรวจสอบธุรกรรมสำหรับภาคการเงิน หรือสำหรับภาคการผลิตก็จะเป็นการซ่อมบำรุงร้กษาเชิงคาดการณ์และการควบคุมคุณภาพขั้นสูง หรือในภาคค้าปลีกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรที่สามารถสร้างโมเดลเกษตรแม่นยำ (Precision Farming ) ที่นำเทคโนโลยีมาผสมผสานเพื่อการเกษตรยุคดิจิทัล รวมถึงใช้พยากรณ์อากาศ อีกทั้งในด้านการแพทย์และสาธารณสุขกับการประมวลผลภาพทางการแพทย์ด้วย AI เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 

สำหรับประเทศไทยแล้วเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่การเพื่อปริมาณดาต้าเซ็นเตอร์ให้เร็วขึ้นในตลาด แต่ยังเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นกระดูกสันหลังให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงินจนไปถึงสาธารณสุขใช้ประโยชน์จาก AI ที่ต้องการพลังประมวลผลขั้นสูงได้เต็มศักยภาพ

ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Liquid Cooling ในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย STT GDC Thailand มองว่าการลงทุนครั้งนี้คือพันธกิจสำคัญต่ออนาคตของประเทศ เป็นมากกว่านวัตกรรมระบายความร้อน แต่ยังเป็น Game Changer ของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนการเติบโตของ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และสร้างการเติบโตให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

โดย ทิวา เพ็ชรรัตน์ รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย)