Think In Truth
การย้ายขั้วอำนาจโลก : จากอภิมหา อำนาจตะวันตก...สู่รุ่งอรุณแห่ง 'อาเซียน' โดย ฟอนต์ สีดำ
รุ่งอรุณแห่งโลกใหม่: การย้ายขั้วอำนาจจากตะวันตกสู่ตะวันออก
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งความผันผวน ทั้งสงคราม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ปรากฏการณ์หนึ่งได้เผยโฉมขึ้นอย่างเด่นชัดในศตวรรษที่ 21 นั่นคือ “การสับเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก” (Power Shift) จากโลกตะวันตกสู่ภูมิภาคตะวันออก
ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปยังคงจมอยู่กับความขัดแย้งภายในและวิกฤตซ้ำซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และประชากร ทวีปเอเชียกลับกลายเป็นศูนย์กลางแห่งพลังใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ที่ผงาดขึ้นเป็น “เสาหลักที่สามของอำนาจโลก” (The Third Pillar) อย่างน่าทึ่ง
จากอดีตที่เคยเป็นเพียงฐานการผลิตต้นทุนต่ำ และแหล่งท่องเที่ยวของผู้คนจากโลกตะวันตก วันนี้ อาเซียนกลับกลายเป็น “เส้นทางรอด” ทางเศรษฐกิจ และ “หลุมหลบภัยทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Safe Harbor) ที่มหาอำนาจเก่าอย่างยุโรปต้องรีบเข้ามาพึ่งพิง นับเป็นการพลิกกลับของประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ระหว่างอดีตผู้ล่าอาณานิคมกับผู้ถูกล่า
บทความนี้มุ่งสำรวจรากเหง้าแห่งวิกฤตโครงสร้างที่กำลังกัดกินยุโรป และขณะเดียวกันวิเคราะห์กลยุทธ์อันแยบยลของอาเซียน ที่สามารถพลิก “จุดอ่อนทางภูมิศาสตร์” ให้กลายเป็น “จุดแข็งทางยุทธศาสตร์” จนภูมิภาคแห่งนี้กลายเป็นหัวใจใหม่ของสมดุลอำนาจโลก
ยุโรปในคิวสยบ: การยอมรับอำนาจศูนย์กลางของอาเซียน
สัญญาณแรกของการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลกปรากฏชัด เมื่อประเทศในยุโรปเริ่มยอมรับและเดินตามกติกาที่อาเซียนวางไว้ นั่นคือ “สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Treaty of Amity and Cooperation – TAC) ซึ่งอาเซียนสถาปนาขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 โดยยึดหลักสำคัญสามประการ คือ
- การเคารพในอธิปไตยของกันและกัน
- การไม่แทรกแซงกิจการภายใน
- การแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี
ในอดีต หลักการเหล่านี้แทบไม่อยู่ในสายตาของมหาอำนาจตะวันตก ทว่าในปัจจุบัน ประเทศยุโรปกลับแย่งกันเข้าร่วมลงนามใน TAC ราวกับเป็น “ใบเบิกทาง” สู่ภูมิภาคที่กำลังรุ่งเรืองที่สุดแห่งศตวรรษ
ฝรั่งเศสในฐานะ “เสือเฒ่าแห่งยุโรป” คือประเทศแรกที่ลงนามใน TAC เมื่อปี ค.ศ. 2007 ตามมาด้วยสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในการเจรจาและวิ่งเต้นเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมในฐานะองค์กรระดับทวีป กระทั่งสำเร็จในปี ค.ศ. 2012 นับเป็น “การง้อ” (Persuasion) ที่สะท้อนถึงการยอมรับอำนาจของอาเซียนอย่างแท้จริง
หลังจาก สหราชอาณาจักร (UK) แยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) สิ่งแรกที่รัฐบาลลอนดอนเร่งทำกลับไม่ใช่การฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่คือการ “เข้าหาอาเซียน” โดยในปี ค.ศ. 2021 สหราชอาณาจักรได้กลายเป็น “คู่เจรจารายใหม่รายแรกในรอบ 25 ปี” ของอาเซียน
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ผลจากความเสน่หาทางการทูต หากแต่เป็น “ความจำเป็นเชิงโครงสร้าง” ที่บีบบังคับให้ยุโรปต้องหันมายอมรับศูนย์กลางใหม่แห่งโลก อาเซียน
วิกฤตสองเด้งของทวีปเก่า: เศรษฐกิจซบเซาและระเบิดเวลาประชากร
การเร่งรัดของยุโรปในการขยายสัมพันธ์กับอาเซียนเกิดจาก “วิกฤตซ้อนสองชั้น” (Double Crisis) ภายในภูมิภาคของตนเอง นั่นคือ วิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตประชากร
1) วิกฤตเศรษฐกิจชะงักงัน (The Stagnation Economy)
ยุโรปมิใช่ดินแดนแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจ “ชะงักงัน” อย่างต่อเนื่อง รายงานของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ คณะกรรมาธิการยุโรป คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของยูโรโซนจะเติบโตเพียง 0.9%–1.4% ในช่วงปี ค.ศ. 2025–2026 ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคอื่นของโลกอย่างน่ากังวล
ยิ่งไปกว่านั้น เยอรมนี ซึ่งเคยเป็นหัวรถจักรเศรษฐกิจยุโรป กลับถูกสื่อขนานนามใหม่ว่าเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป” (The Sick Man of Europe) อีกครั้ง หลังจากเศรษฐกิจเติบโตเพียง 0.2% ในปี ค.ศ. 2025 สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตพลังงานราคาแพงจากสงครามยูเครน ส่งผลให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของยุโรปเดินสะดุดอย่างหนัก
2) ระเบิดเวลาทางประชากร (The Demographic Time Bomb)
ทว่า วิกฤตเศรษฐกิจยังไม่ร้ายแรงเท่ากับ “วิกฤตประชากร” ไพ่ตายที่ยุโรปไม่เคยถือ
ทวีปยุโรปซึ่งมีประชากรราว 744 ล้านคน กลายเป็นภูมิภาคที่มีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก โดยมี Median Age 42.7–44 ปี และคาดว่าจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ภายหลังปี ค.ศ. 2026 รายงานของ Joint Research Centre (JRC) แห่งสหภาพยุโรประบุว่า หากไม่ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ภายในปี ค.ศ. 2070 ยุโรปจะสูญเสียแรงงานถึง 42.8 ล้านคน ซึ่งจะกระทบต่อระบบบำนาญและสาธารณสุขอย่างรุนแรง
ในทางตรงกันข้าม อาเซียน กลับเป็นภูมิภาคแห่งความมีชีวิตชีวา ด้วยประชากรราว 700 ล้านคน และอายุเฉลี่ยเพียง 30 ปี ช่องว่างกว่า 14 ปีนี้คือความต่างระหว่าง “ความสิ้นหวัง” ของยุโรปกับ “ความหวัง” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แรงงานหนุ่มสาวของอาเซียนจึงกลายเป็นทรัพยากรที่ยุโรปขาดแคลนที่สุดในศตวรรษนี้ และการหันหน้ามาหาอาเซียนจึงมิใช่ “ทางเลือก” หากแต่คือ “ทางรอด” ของยุโรปในทุกมิติ
อาเซียน: เครื่องยนต์แห่งการเติบโตและหลุมหลบภัยภูมิรัฐศาสตร์
ในยุคที่โลกแตกออกเป็นสองขั้วระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาเซียนกลับสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้อย่างมั่นคง จนได้รับการยอมรับว่าเป็น “เสาหลักที่สามของโลก” (The Third Pillar) ด้วยปัจจัยสำคัญสองประการ
1) เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกใหม่ (The Growth Engine)
ขณะที่ยุโรปเติบโตเพียง 1% เศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน-5 (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม) กลับคาดว่าจะขยายตัวถึง 4.2% ในปี ค.ศ. 2025 ตามรายงาน IMF World Economic Outlook (October 2025) และเอเชียทั้งภูมิภาคยังคงเป็น “ผู้แบกรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถึง 60%” นักเศรษฐศาสตร์นานาชาติจึงเห็นตรงกันว่า “อนาคตของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่นี่”
2) หลุมหลบภัยแห่งความเป็นกลาง (The Geopolitical Safe Harbor)
สิ่งที่ทำให้อาเซียนทรงพลังยิ่งกว่าตัวเลขเศรษฐกิจ คือ “ความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Multi-Alignment) ซึ่งทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็น หลุมหลบภัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทุกมหาอำนาจสามารถเข้ามาพึ่งพาได้
ในขณะที่ยุโรปพยายาม “หนีจีน” (Derisking / Diversify) เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานเดียว อาเซียนกลับกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของกลยุทธ์ “China Plus One” การสร้างฐานการผลิตนอกจีนที่มั่นคง ปลอดภัย และไม่ถูกครอบงำ
รายงานของ Standard Chartered และ Frasers Property Industrial ยืนยันว่า อาเซียนคือ “ศูนย์กลางแห่งความปลอดภัยทางการผลิต” ที่กำลังดึงดูดการลงทุนของยุโรปอย่างมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ได้ระบุในเอกสารยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรปเองว่า
“ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกคือพื้นที่ชี้ชะตาอนาคตของโลก และสหภาพยุโรปจำเป็นต้องกระชับความร่วมมือกับอาเซียนอย่างยิ่ง”
ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงเชิงนโยบาย หากแต่สะท้อนถึงการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินลงทุนจริง ปัจจุบัน EU คือผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน ด้วยยอดสต็อกการลงทุนกว่า 300,000 ล้านยูโร หรือราว 12 ล้านล้านบาท
ภาพของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ที่เดินสายเยือนเวียดนาม อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ในปี 2025 เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทาน จึงมิใช่เพียงการเยือนเชิงมารยาท หากแต่คือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า “อาเซียนคืออนาคตของยุโรป”
ประเทศไทย: ผู้นำขบวนอาเซียนและผู้ชนะในเกมใหม่ของโลก
ในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ใหม่นี้ ประเทศไทย กลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่ได้รับอานิสงส์มหาศาลจากกระแส “ยุโรปซบอาเซียน” ด้วยยุทธศาสตร์ที่สอดรับทั้งด้านการค้า การแพทย์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
1) การฟื้นเขตการค้าเสรีไทย–ยุโรป (FTA Revival)
การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย–สหภาพยุโรป ซึ่งหยุดชะงักมานานกว่า 10 ปี ได้ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง โดยทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าจะสรุปผลภายในปี ค.ศ. 2027 การเร่งรัดนี้ไม่ใช่เพราะยุโรปต้องการตลาดใหม่เท่านั้น หากแต่เพราะ “ต้องการฐานการผลิตที่มั่นคงและเชื่อถือได้” และประเทศไทยคือคำตอบ
2) ศูนย์กลางสุขภาพและการแพทย์ (Medical & Wellness Hub)
ในขณะที่ยุโรปเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ไทยกลับโดดเด่นด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพระดับโลก งานประชุม EU–ASEAN Health Summit และ Medical Fair Thailand 2025 ได้ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้ทัดเทียมระดับยุโรป (CE Mark) เปิดประตูสู่ตลาดผู้สูงวัยมูลค่ามหาศาลในยุโรป
3) ปรากฏการณ์ EV Hub: การกลับตาลปัตรแห่งยุค
สิ่งที่สะท้อน “อัจฉริยภาพเชิงยุทธศาสตร์” ของไทยชัดเจนที่สุด คือการผงาดขึ้นเป็น ศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของภูมิภาค
นอกจากค่ายยุโรปอย่าง Mercedes-Benz และ BMW ที่เริ่มประกอบรถ EV ในไทยแล้ว สิ่งที่สร้างความตื่นตะลึงคือการที่บริษัทจีนอย่าง BYD และ Changan ตั้งฐานผลิตในระยองเพื่อส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในไทย “กลับไปขายในยุโรป” เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2025 BYD ได้ส่งออกรถรุ่น Dolphin ล็อตแรกกว่า 900 คันไปยังสหราชอาณาจักร เยอรมนี และเบลเยียม เป็นสัญลักษณ์แห่ง “การกลับตาลปัตรสมบูรณ์แบบ”
ในขณะที่ยุโรปพยายาม “หนีจีน” ด้วยกลยุทธ์ De-risk บริษัทจีนกลับใช้ “De-risk แบบย้อนศร” โดยย้ายฐานผลิตมายังไทยเพื่อหลบเลี่ยงกำแพงภาษีและเข้าถึงตลาดยุโรปผ่าน FTA ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์คือเกม “Win–Win” ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์:
- ยุโรปได้รับสินค้าปลอดความเสี่ยงทางการเมือง
- จีนได้ช่องทางการส่งออกที่มั่นคง
- ไทยได้รับการลงทุน เทคโนโลยี และการจ้างงาน
นี่คือชัยชนะของความเป็นกลางที่ใช้ “ภูมิรัฐศาสตร์เป็นทุน” อย่างแท้จริง
บทสรุป: โลกที่เปลี่ยนแกน และศตวรรษแห่งอาเซียน
การที่ยุโรปหันมาสยบต่อกติกาของอาเซียน เป็นมากกว่าการทูต แต่มันคือ หลักฐานของการเปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจโลก
เมื่อเศรษฐกิจยุโรปซบเซา ประชากรแก่ชรา และพลังสร้างสรรค์โรยรา โลกตะวันออกเฉียงใต้กลับเปี่ยมด้วยชีวิต แรงงาน และพลังการเติบโตที่ไม่มีใครหยุดได้ ปัจจัยหลักในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ประกอบด้วย 4 เสาหลักสำคัญ:
- การยอมรับกติกาอาเซียน — ยุโรปเข้าร่วม TAC และยอมรับ ASEAN Centrality อย่างเป็นทางการ
- วิกฤตโครงสร้างยุโรป — เศรษฐกิจเติบโตต่ำและเข้าสู่สังคมสูงวัย
- พลังหนุ่มสาวของอาเซียน — อายุเฉลี่ยเพียง 30 ปี และความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์
- ความได้เปรียบของไทย — การรื้อฟื้น FTA และความสำเร็จในฐานะ EV Hub ของภูมิภาค
การย้ายขั้วอำนาจครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ หากแต่เป็น การยืนยันศักดิ์ศรีของภูมิภาคอาเซียน ว่าเราสามารถเป็น “ศูนย์กลางแห่งความมั่นคงและโอกาสของโลกใหม่” ได้ด้วยตนเอง
แหล่งอ้างอิง (References)
- International Monetary Fund (IMF). World Economic Outlook: Real GDP Growth (October 2025)
- European Commission – Joint Research Centre (JRC).
“Tackling EU's shrinking workforce? Better education, more women in jobs, skilled migration.”
Brussels, June 11, 2025. - The Guardian.
“Europe's population crisis: see how your country compares – visualised.” February 18, 2025. (อ้างอิงข้อมูลจาก Eurostat) - Standard Chartered.
Borderless Business: Europe–ASEAN Corridor. October 12, 2025. - Frasers Property Industrial.
The China Plus One Strategy: How ASEAN is Becoming the World’s Alternative Factory. Singapore, 2025. - European Parliament.
ASEAN: EU’s Strategic Partner in Asia. December 14, 2022. - Medical Fair Thailand 2025.
Official Conference Report – EU–ASEAN Health Summit Highlights. Bangkok, September 2025. - BYD Company Limited.
Press Release: BYD Dolphin Exports from Thailand to Europe Begin. August 2025. - Thai Ministry of Commerce.
Negotiation Framework for the EU–Thailand Free Trade Agreement (FTA). Bangkok, 2025. - World Economic Forum (WEF).
Strategic Multi-Alignment and ASEAN’s Role in the New Global Order. Geneva, 2024.
