Health & Beauty
แพทย์เผยRSVนอกฤดูกาลต้องเฝ้าระวัง! ย้ำ‘เด็กคลอดก่อนกำหนด-กลุ่มเสี่ยง’
กรุงเทพฯ-เนื่องในโอกาส "วันทารกเกิดก่อนกำหนดโลก" (World Prematurity Day) ซึ่งจะตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายนของทุกปี โดยปี 2568 อยู่ภายใต้แนวคิด "Healthy beginnings, hopeful futures" เน้นย้ำถึงการให้โอกาสทารกทุกคนได้เริ่มต้นชีวิตอย่างมีคุณภาพ จึงเป็นวาระสำคัญที่ต้องตอกย้ำถึงความเสี่ยงของ "เชื้อไวรัส RSV" ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยรุนแรงในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน "กลุ่มเด็กเปราะบาง" อย่างทารกที่คลอดก่อนกำหนด และเด็กที่มีโรคประจำตัว พร้อมรณรงค์ให้ผู้ปกครองตระหนักถึงการป้องกันเชิงรุกด้วย "ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV" ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
การคลอดก่อนกำหนด (หรือก่อน 37 สัปดาห์) ยังคงเป็นความท้าทายระดับโลก ข้อมูลจากกรมการแพทย์ ระบุว่า ในแต่ละปีมีทารกคลอดก่อนกำหนดสูงถึง 15 ล้านคนทั่วโลก หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของทารกแรกเกิดทั้งหมด และมีทารกที่เสียชีวิตจากภาวะนี้ประมาณ 1 ล้านคน [1] สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ข้อมูล ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า หญิงไทยมีอัตราการคลอดก่อนกำหนดสูงถึงร้อยละ 9.82 [2] ซึ่งภาวะนี้ส่งผลให้ทารกมีปอดระบบภูมิคุ้มกันและการควบคุมอุณหภูมิของทารกยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษต่อภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
รศ. นพ. สรายุทธ สุภาพรรณชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิด และประธานชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เชื้อไวรัส RSV ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยอาการเริ่มต้นมักคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ และคัดจมูก แต่จะมีความรุนแรงขึ้นเมื่อเชื้อลุกลามลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง โดยกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงสูงมาก ได้แก่ ทารกคลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดเรื้อรัง เด็กกลุ่มนี้หากติดเชื้อ RSV อาการจะรุนแรงกว่าเด็กทั่วไปมาก เสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลว หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากสังเกตลูกมีอาการหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด หายใจเร็ว ซี่โครงบุ๋ม หรือมีภาวะหยุดหายใจ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที”
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน RSV สำหรับเด็กเล็กโดยตรง ทำให้ 'ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV' เป็นมาตรการหลักในการป้องกันสำหรับเด็ก โดยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปสามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีหลังได้รับ ทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันพร้อมต่อสู้กับไวรัสได้ทันเวลา สามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อได้ตั้งแต่แรกเกิด และป้องกันการติดเชื้อได้นานถึง 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกเปราะบางมากที่สุด สำหรับประสิทธิภาพ พบว่า ลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ 82.7%, ลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างจาก RSV ได้ 79.5% และลดระยะเวลาในการเข้ารับการรักษาในแผนกดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ (NICU) ได้ 75.3% [3]
สำหรับเด็กที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ การรับภูมิคุ้มกันนี้ในช่วงก่อนหรือระหว่างฤดูกาลระบาดถือว่าเหมาะสม แต่สำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นทารกคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว การป้องกันตั้งแต่แรกเกิดมีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะหากติดเชื้อแล้วจะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กปกติและมีโอกาสนอนโรงพยาบาลสูง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องรอฤดูกาลระบาด โดยทารกทั่วไปสามารถรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 8 เดือน ในขณะที่ทารกที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กที่มีโรคปอดเรื้อรัง หรือโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด สามารถรับต่อเนื่องตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 ปี
การป้องกันด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ในเด็กกลุ่มเสี่ยงสูงจึงถือเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และภาวะแทรกซ้อนที่อาจคุกคามชีวิตลูกน้อยได้ โดยเฉพาะในวาระการตระหนักถึงการเริ่มต้นชีวิตที่ดีของทารกทุกคนในวันคลอดก่อนกำหนดโลก
