Authority & Harm
วุ่น!ที่ดินหัวทะเลโคราชต่างมีเอกสารสิทธิ อ้างเป็นเจ้าของ/ที่ดินเร่งตรวจใครตัวจริง
นครราชสีมา-กรณีข้อพิพาทที่ดินบริเวณติดกับโรงเรียนเทศบาลหัวทะเล ม.4 ต. หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา เจ้าของที่ดินร้องขอความเป็นธรรม มีผู้อ้างสิทธิ์ครอบครองที่ดินกว่า 23 ราย อ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ตนเองครอบครองอยู่ประมาณ 245 ไร่
นางกุสุมา ภู่ประเสริฐ ลูกสาวนางวริศรา ภู่ประเสริฐ มารดา ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าว เปิดเผยว่า พ่อตนเองเสียชีวิตและแม่เป็นผู้รับมรดก ในที่ดินเลขที่ นส.3 80 และ 99 หมู่ 4 ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา แม่และครอบครัวไปขออออกรางวัดที่ดินกับสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา แต่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งจำนวน 23 คน กล่าวอ้างคัดค้านว่าพวกเขาเหล่านั้นมีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว ซึ่งตนเองได้แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้ออกมารางวัดที่ดินของตน แต่ทางเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งบอกตนเองให้มาดำเนินการตีป่าเพื่อสะดวกในการรางวัดที่ดินดังกล่าว ต่อมาตนเองก็ได้ทำการปิดกั้นรั้วรวดหนามในบริเวณที่ดินดังกล่าว แต่ก็มีบุคคลกล่าวอ้างว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ดินของตนเอง

ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้มาติดตั้งป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินส่วนบุคคลห้ามผู้ใดมารุกล้ำเด็ดขาดพร้อมปิดประกาศว่าเป็นเจ้าที่ดินมีโฉนดเลขที่พร้อมจำนวน 5 แปลงเนื้อที่ประมาณ 60 กว่า และได้ดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษครอบครัวตนในข้อหาบุกรุก ไว้ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งเรื่องนี้ตนเองและคุณแม่ไม่เข้าใจในเมื่อพ่อของตนเองได้ซื้อที่กับนายสนั่น ไว้ตั้งแต่ปี 2503 และมีการออกเอกสารสิทธิ์ นส.3 เมื่อปี 2509ตนและครอบครัวก็ครอบครองที่ผืนดังกล่าวมาโดยตลอด ในสมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ได้มอบที่ดินบางส่วนให้กับเทศบาลนครราชสีมา เพื่อทำเป็นสถานที่บำบัดน้ำเสีย แต่ปัจจุบันเป็นเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลหัวทะเล อเมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งตนเองและผู้เป็นแม่ได้ขอเข้าไปตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ผืนดังกล่าวกับสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ว่าที่ดินของตนเองนั้นมีการออกเอกสารสิทธิ์ซับซ้อนที่ดินของตนเองหรือ ซึ่งเรื่องนี้หากไม่ได้ความกระจ่างจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ตนเองจะให้ทนายความคำร้องขอความเป็นธรรมเพื่อให้ศาลเป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่แปลงนี้ต่อไป

ทางด้าน นางสาว ส. ( นามสมมุติ )ซึ่งเป็นผู้ติดตั้งป้ายประกาศว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตนที่ได้มาด้วยความถูกต้อง เล่าว่า ในช่วงวันที่ 4 มี.ค.2568ที่ผ่านมาได้มีชาวบ้านโทรศัพท์มาบอกตนว่าที่ดินของครอบครัวตนในพื้นที่ตำบลหัวทะเล มีคนมาตีป่าล้อมรั้วในพื้นที่ซึ่งชาวบ้านต่างรู้กันดีว่าที่บริเวณดังกล่าวเป็นของครอบครัวใครบ้างใครเป็นเจ้าของครอบครองบ้าง ดังนั้นตนจึงรีบขับรถมาดูปรากฏว่ามีการจ้างคนงานเข้ามาล้อมรั้วในพื้นที่ของตนเอง พร้อมทั้งนำเครื่องจักรมาถากไถที่ดิน จนถึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อนำไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นได้พูดคุยกับผู้ที่บุกรุก ถ้าเพียงว่ามีคนจ้างวานให้มาทำการหลอมรั่วอีกที จึงได้บอกให้หยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากตนและครอบครัวครอบครองที่ดินและมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน คดียังไม่คืบหน้าเนื่องจากมีบุคคลเข้ามาอ้างสิทธิ์ว่ามีเอกสารครอบครองและอยู่ในการตรวจสอบหลายคนหลายกลุ่ม ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานของทางภาครัฐ จึงอยากให้ผู้มีอำนาจเข้าตรวจสอบเพราะเกรงว่าจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังหรือไม่
นางสาวส. ยังกล่าวต่อว่า แต่ละปีตนเองและชาวบ้านในละแวกนี้เสียภาษีอย่างถูกต้องและเป็นที่รับรู้กันในชุมชนว่าเป็นที่ของบ้านเรา แต่เจ้าของที่กลับได้รับความเดือดร้อนดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อวันที่19 ก.ย. 2568ที่ผ่านมา (มีคลิปเหตุการณ์) เกิดเหตุการณ์ชาวบ้านรวมตัวมาต่อต้านการรังวัดที่ดินจากผู้ที่อ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของที่ดิน เนื่องจากได้ทราบข่าวว่าผู้บุกรุก มาขอรางวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน พร้อมทั้งได้นำเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ลงพื้นที่มาด้วย

จากนั้นเมื่อมีกลุ่มของเจ้าของที่มาคัดค้านเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองนครราชสีมาจึงได้ลงพื้นที่มาควบคุมเหตุการณ์ในวันนั้น โดยคู่กรณีมาขนาดนั้นเป็นผู้สูงอายุเดินชี้มาถึงที่ดินของตนรวมทั้งที่ของชาวบ้านว่าเป็นของคู่กรณีทั้งหมด ตนจึงได้สอบถามว่าหาเอกสารจากผู้ที่อ้างสิทธิ์แต่ไม่มีเอกสารมายืนยัน ทั้งๆที่ตรงครอบครองที่ดินมาตลอด 30 ปี และมีเอกสารและการเสียภาษีทุกปีชัดเจน ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่จึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้นเนื่องจากในวันนี้ยังจะมีการมาขอรังวัดที่ดินอีกครั้ง จึงทำให้ตนและชาวบ้านในพื้นที่เกิดความไม่สบายใจ จึงวอนขอหน่วยงานให้เข้ามาช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถูกต้องชัดเจน อย่างไรก็ตามชาวบ้านอยากวอนขอให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถูกต้องชัดเจนและให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านตาดำๆด้วย
ณัฐพงศ์ อรชร นครราชสีมา รายงาน


