In Bangkok
กทม.ย้ำมนุษย์คือหัวใจที่อยู่เบื้องหลังAI ดูแลสุขภาพ-ปลอดภัยผู้สูงวัยในเมือง
กรุงเทพฯ-(22 พ.ย. 68) รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมพิธีเปิด และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “กรุงเทพมหานครกับการดูแลผู้สูงอายุเขตเมือง: ความท้าทายในยุค AI” ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 และประชุมวิชาการ เรื่อง “AI เพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะ” ณ คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ เขตดุสิต โดยมี ผศ.ดร.สาระ มุขดี นายกสมาคมศิษย์เก่าพยาบาลเกื้อการุณย์ (วชิระ) เป็นประธานในพิธีเปิด ผศ.ดร.ปาริชาติ ทาโน ประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ กล่าวรายงาน
ในการปาฐกถาพิเศษนี้ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงการเป็น Smart Enough City ว่า กรุงเทพมหานครไม่ได้มุ่งเป้าหมายเป็นเพียงแค่ Smart City แต่ต้องการเป็น Smart Enough City ซึ่งหมายถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของประชาชน เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต หรือ เทคโนโลยีต้องไม่ทำให้คนอยู่ไม่ได้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่อ่อนแอที่สุดสำหรับวงการสาธารณสุข คือ Health Governance (การบริหารจัดการระบบสุขภาพในภาพรวม) ไม่ใช่ Health Treatment (การดูแลรักษารายบุคคล) โดยปัญหา Health Governance หมายถึง การที่เรายังไม่เข้าใจระบบ ไม่เชื่อมโยงระบบ และไม่รู้เงื่อนไขบริบทต่าง ๆ

นอกจากนี้ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังเน้นย้ำความสำคัญของข้อมูล โดยกล่าวว่า AI จะทำงานไม่ได้ ถ้า Data หรือข้อมูลไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ กทม. จึงได้จัดโครงการตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน เพื่อรวบรวมฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งจากผลการตรวจพบว่า โรคสำคัญอันดับ 1 ของคนเมืองคือ ไขมันในเลือดสูง และอันดับ 2 คือ โลหิตจาง ในส่วนของผู้สูงอายุในเมือง ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง (43.29%) ไขมันในเลือดสูง (33.35%) เบาหวาน (19.95%) ซึ่งข้อมูลที่ได้มานี้เป็นฐานสำคัญในการวางแผนงานเชิงรุกเพื่อสุขภาพของคนกรุงเทพฯ
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เล่าด้วยว่า ปัจจุบัน กทม. มีการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ผลการตรวจต่าง ๆ อาทิ การอ่านฟิล์ม X-ray เกือบ 400,000 ฟิล์ม เพื่อคัดกรองโรคมะเร็งหรือวัณโรคในระยะเริ่มต้น การวิเคราะห์ผลเลือดและปรับภาษาแพทย์ให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจสถานะสุขภาพของตนเองง่ายขึ้น อีกทั้งยังได้นำร่องใช้ AI ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ การติดตั้งเครื่องมือตรวจประเมินการทรงตัวของผู้สูงอายุที่โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เพื่อให้นักกายภาพบำบัดสามารถวางแผนการฝึกฟื้นฟูได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมีแผนในการติดตั้งเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์ ที่ใช้การเล่นเกมด้วยการดึงเข้าดึงออก เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของมือ รวมถึงฝึกความสัมพันธ์ของมือกับตา และกระตุ้นกลไกของสมอง
ในด้านความปลอดภัย ได้ยกตัวอย่างการนำ Sensor ตรวจวัดระดับการสั่นสะเทือนและประเมินกำลังต้านทานการรับแรงแผ่นดินไหวที่ด้านบนอาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง ซึ่งทำให้ทราบว่าความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารหรือไม่ ต้องอพยพหรือไม่ โดยในอนาคต เมื่อมีการขยายผล นำ Sensor มาติดตั้งในอาคารสูงของโรงพยาบาลในสังกัด กทม. ก็จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจในเรื่องของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยยามเกิดภาวะวิกฤตได้

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า หัวใจสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุในยุค AI คือ Soft Touch เบื้องหลัง AI ซึ่งเน้นบทบาทของมนุษย์ โดยเฉพาะพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานเชิงปฐมภูมิ พร้อมเล่าถึง Soft Touch ที่ กทม. ดำเนินการว่า กทม. ได้ใช้กลไกการจับคู่อาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ที่เป็นคนรุ่นใหม่ กับอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันในการพัฒนาระบบสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ โดย อสส. ถ่ายทอดข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับบริบทของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ส่วน อสท. ถ่ายทอดทักษะดิจิทัลและทำข้อมูลชุมชนขึ้นบนแผนที่ (One Map) ที่สำคัญ กทม. ได้มีการสอนและส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ อาทิ แอปพลิเคชัน “หมอ กทม.” เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุในชุมชนสามารถเรียกรถฉุกเฉิน 1669 ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแอปฯ หมอ กทม. สามารถระบุตำแหน่งผู้แจ้งโดยอัตโนมัติ แต่การโทรศัพท์ผู้แจ้งจะต้องบอกรายละเอียดตำแหน่งด้วยตนเอง
“อย่างไรก็ตาม ความสามารถเดียวที่ AI ยังเอาชนะไม่ได้คือ ability to ask question หรือความสามารถในการตั้งคำถามใหม่ ฉะนั้น เราต้องรู้จักที่จะตั้งคำถาม เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ให้ดีขึ้น”รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับการประชุมวิชาการ ในหัวข้อ “AI เพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะ” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 23 พ.ย. 68 โดยสมาคมศิษย์เก่าพยาบาลเกื้อการุณย์ (วชิระ) ร่วมกับคณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เพื่อให้พยาบาลและผู้สนใจมีความรู้ความเข้าใจการใช้ AI เพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาวะ เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การใช้ AI และนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยให้มีสุขภาพดีและมีความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องด้วยปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้ามามีบทบาทในวงการสาธารณสุข ทั้งในด้านการแพทย์และด้านการพยาบาล มีการนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพผู้รับบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรสูงวัยที่มีความต้องการเฉพาะ ซึ่ง AI สามารถช่วยดูแลสุขภาวะของผู้สูงอายุทั้ง 5 มิติ ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพสังคม สุขภาพปัญญา และสุขภาพจิตวิญญาณ
ในการนี้ พญ.ดวงพร ปิณจีเสคิกุล ผู้อำนวยการสำนักอนามัย ศิษย์เก่าพยาบาลเกื้อการุณย์ (วชิระ) นักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีเปิดและร่วมการประชุมดังกล่าว
