Think In Truth
ทุนสัญลักษณ์แห่งราชสถาบัน: สินทรัพย์ ทางการเมือง ดุลภาพอำนาจเชิงลึก โดย ฟอนต์ สีดำ
บทนำ: จุดตัดแห่งวิกฤตและความจำเป็นในการปรับดุลอำนาจ
ในมิติแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์มิได้เป็นเพียงแผนที่ที่กำหนดอาณาเขต แต่เป็นฉากที่ซึ่งนานาชาติแสดง "ยุทธศาสตร์" อันซับซ้อนภายใต้แรงเหวี่ยงของมหาอำนาจ ในห้วงเวลาหนึ่ง ภายหลังความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นจากเหตุการณ์บริเวณพรมแดน ได้บังเกิดสถานการณ์ที่มิอาจมองข้ามได้ถึง สามสิบสถานการณ์สะท้านโลก ซึ่งผูกพันอยู่กับการตัดสินใจและท่าทีของราชอาณาจักรไทย
สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นด้วย การเชิญชวนจากสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ให้ประเทศไทยและกัมพูชาลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะเป็นหมุดหมายแห่งความสงบสุข ทว่าความหวังนั้นมิได้ยั่งยืนยาวนาน เมื่อฝ่ายกัมพูชาได้ ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกลับเข้าสู่พื้นที่และดำเนินการ วางทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดบาดแผลอันมิอาจลืมเลือน เมื่อ ทหารไทยต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญ จากการเหยียบกับระเบิด
เมื่อความยุติธรรมถูกบิดเบือน รัฐบาลไทยจึงแสดงจุดยืนอันหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว ด้วยการ ประกาศฉีกสัญญาสันติภาพ อย่างเปิดเผย เนื่องจากถือว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำนี้มิได้เป็นเพียงการโต้ตอบทางกายภาพ แต่เป็นการประกาศอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติในเวทีสากล ทว่าผลพวงที่ตามมานั้นมิได้มาจากคู่กรณีโดยตรง แต่กลับมาจากมิตรประเทศที่เคยไว้วางใจ นั่นคือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ การตั้งกำแพงภาษี เพื่อเป็นเครื่องมือในการข่มขู่ให้ไทยกลับไปปฏิบัติตามสัญญาสันติภาพเดิม โดยมิได้แสดงความสนใจต่อข้อเท็จจริงที่ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด และทหารไทยเป็นฝ่ายบาดเจ็บ การกระทำนี้สะท้อนถึงการใช้กลไกทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน
รัฐบาลไทยได้แถลงการณ์แสดง ความผิดหวังอย่างยิ่งต่อท่าทีของสหรัฐฯ ที่ขาดความยุติธรรม แต่ยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ยอมอ่อนข้อและน้อมรับต่อคำขู่ที่ไม่เป็นธรรม การตอบโต้ด้วยความสง่างามแต่แข็งกร้าวนี้ เป็นสัญญาณที่ส่งออกไปทั่วโลกว่าประเทศไทยมิได้เป็นเพียงเบี้ยในกระดานของมหาอำนาจ และแรงกดดันที่ถาโถมมาจากสหรัฐฯ ในกรณี "ดีลสันติภาพไทย – กัมพูชา" นี้เอง ที่ทำให้ประเทศไทยตระหนักรู้ถึงสัจธรรมอันเจ็บปวดว่า มิตรประเทศอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเป็น "เพื่อนที่คาดเดายาก" ในยามที่ผลประโยชน์แห่งชาติต่างกัน
ยุทธศาสตร์การทูตชั้นสูง: การเสด็จฯ เยือนจีนและการเดินเกม "สมดุลเชิงลึก"
ในห้วงยามที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังแผ่ขยาย และไทยถูกบีบคั้นจากมหาอำนาจตะวันตก (สหรัฐฯ) นั้นเอง ได้เกิดปรากฏการณ์ทางการทูตระดับสูงสุดขึ้น นั่นคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
การเสด็จฯ ในครั้งนี้มิได้เป็นเพียงกำหนดการตามปกติ แต่เป็น โอกาสทองที่รัฐบาลจีนใช้ในการแสดงตน ต่อประชาคมโลก ในฐานะ "มากกว่ามหามิตร" ด้วยการประกาศอย่างหนักแน่นว่า "ไทย-จีน คือคนในครอบครัวเดียวกัน" การประกาศนี้มิใช่เพียงวาทศิลป์อันไพเราะ แต่คือการส่งสารทางการเมืองระดับโลกที่ลึกซึ้งและมีความหมาย การตอบรับของจีนในช่วงเวลาที่ไทยกำลังถูกโดดเดี่ยวจากแรงกดดันของสหรัฐฯ นับเป็นการเปิดพื้นที่ให้ประเทศไทยสามารถ “ขยับน้ำหนัก” ในดุลยภาพมหาอำนาจให้เอนเอียงไปทางจีนมากขึ้น
แม้ว่าโดยหลักการแล้ว จีนจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งอาจทำให้คนทั่วไปมองว่าไทยต้องอยู่ข้างสหรัฐอเมริกามากกว่า แต่ ภาพของการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน และ ภาพการต้อนรับอันยิ่งใหญ่ตระการตา ที่รัฐบาลจีนจัดถวายนั้น คือ "ภาษาทางการทูตระดับสูงสุด" ที่สื่อสารต่อสาธารณชนโลกอย่างทรงพลัง
ภาษาทางการทูตนี้มีความหมายสำคัญยิ่ง: จีนกำลังส่งสารไปยังโลกภายนอกว่า... จีนคือมหาอำนาจที่ได้รับ "ความไว้วางพระราชหฤทัย" จาก "องค์พระประมุขของไทย ซึ่งมีสถานะสูงสุด" ความไว้วางใจนี้มิได้เกิดจากการเจรจาในระดับคณะรัฐบาล แต่เป็นความเชื่อมั่นที่หยั่งรากลึกในระดับสถาบันที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของชาติ
ด้วยเหตุนี้ การเสด็จฯ ครั้งนี้จึงมิใช่แค่เพียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่คือ "เครื่องมือจัดวางตำแหน่งของไทยในเกมมหาอำนาจโลก" ที่ถูกดำเนินการภายใต้กลยุทธ์อันลุ่มลึกที่เรียกว่า "สมดุลเชิงลึก" (Deep Balancing)
"สมดุลเชิงลึก" อธิบายได้ว่า ไทยมิได้เลือกข้างใดข้างหนึ่งอย่างเด็ดขาด แต่ใช้โอกาสอันเป็นมงคลนี้ในการ "เพิ่มน้ำหนักจีนในสมดุลสองขั้ว" โดยใช้ "สถาบันพระมหากษัตริย์" เป็นเครื่องมือทางการทูต ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถปรับดุลระหว่างสองขั้วอำนาจได้อย่างแนบเนียน และไม่ถูกตีตราว่ากำลังเลือกฝ่าย
การเปิดพื้นที่ให้จีนเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคมากขึ้นนี้ เป็นการโต้ตอบแรงกดดันจากสหรัฐฯ อย่างสง่างาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "ดีลสันติภาพไทย–กัมพูชา" หรือกรณี "กำแพงภาษี" ขณะเดียวกัน จีนเองก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการ สร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองในภูมิภาค ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งเป็นการยืนยันความสัมพันธ์อันพิเศษที่เหนือกว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองตามปกติ
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: ทุนทางสัญลักษณ์สู่สินทรัพย์ทางการเมือง
การเคลื่อนไหวทางการทูตอันแยบยลนี้ นำไปสู่การทำความเข้าใจในแนวคิดทางสังคมวิทยาการเมืองที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ "ทุนทางสัญลักษณ์" (Symbolic Capital) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การดำเนินกลยุทธ์ "สมดุลเชิงลึก" ประสบความสำเร็จ
กลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือตัวถ่วงของการพัฒนาชาติ อาจไม่ตระหนักถึงความจริงอันประจักษ์ในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ ว่า "ไม่มีองค์กรใดของไทยที่มี 'ทุนทางสัญลักษณ์' (Symbolic Capital) สูงไปกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์"
ในทางรัฐศาสตร์และสังคมวิทยาการเมือง หากเรากล่าวถึงคำว่า "ทุน" คนส่วนใหญ่อาจคิดถึง เงินตรา ทรัพยากร หรือขนาดเศรษฐกิจ (18) แต่ปิแอร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้นำเสนอแนวคิดที่สำคัญยิ่งที่เรียกว่า "ทุนทางสัญลักษณ์" ซึ่งหมายถึง ความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรม ชื่อเสียง เกียรติยศ และการยอมรับนับถือ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีสถานะพิเศษอย่างยิ่งในสายตาของต่างประเทศ เพราะได้ สะสมทุนสัญลักษณ์ มานานหลายศตวรรษผ่านองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
- ความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์: การสืบทอดราชวงศ์ที่ยาวนานและมั่นคง.
- ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม: การเป็นศูนย์กลางในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีของชาติ.
- ความศรัทธาของประชาชน: การเป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักความสามัคคีของคนในชาติ.
- บทบาทในการพัฒนาประเทศ: การทรงงานด้านการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรอย่างต่อเนื่อง.
คุณสมบัติเหล่านี้รวมกันก่อให้เกิด "ทุนที่จับต้องไม่ได้ แต่ทรงพลังในทางการเมืองอย่างสูง" ซึ่งสามารถแปลงสภาพเป็น "อิทธิพลทางการเมืองหรือสังคม" ในเวทีสากลได้
จะสังเกตได้ว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเสด็จฯ ไปยังประเทศใดก็ตาม ประเทศไทยโดยรวมจะ “ดูใหญ่ขึ้น” กว่าขนาดเศรษฐกิจที่แท้จริง นี่คือ พลังอำนาจของ "ทุนทางสัญลักษณ์" ที่ไม่มีองค์กรอื่นใดในประเทศไทยสามารถเทียบเคียงได้ สถาบันพระมหากษัตริย์ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย “ถูกขยายใหญ่ขึ้น” บนเวทีโลกหลายเท่าตัว กล่าวคือ แม้ไทยจะเป็นประเทศขนาดกลางในทางเศรษฐกิจ แต่ "ทุนทางสัญลักษณ์" ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยถูกรับรู้และยอมรับในฐานะ "ประเทศที่มีน้ำหนักทางการเมืองสูง"
หลักการสำคัญคือ: ประเทศที่มี "ทุนทางสัญลักษณ์สูง" ย่อมมี น้ำหนักบนโต๊ะเจรจามากกว่าความเป็นจริง และเมื่อการเยือนนั้นเป็นการเยือนมหาอำนาจอย่างจีน ผลคูณของอิทธิพลยิ่งทวีคูณขึ้นอย่างมหาศาล
นี่คือเหตุผลอันเป็นแก่นแท้ที่อธิบายว่า เหตุใดรัฐบาลจีนจึงต้องจัดพิธีการต้อนรับอย่างเต็มรูปแบบและยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะจีนตระหนักดีว่า "ทุนทางสัญลักษณ์" ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย มีค่าทางการทูตสูงกว่าการเยือนในระดับนายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีหลายเท่าตัวนัก
การแปรรูปทุนเป็นสินทรัพย์: เครื่องมือแห่งความมั่นคงและการต่อรอง
ในทางการเมืองระหว่างประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยจึงมิได้เป็นเพียง "สัญลักษณ์ในประเทศ" แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นที่รับรู้และยอมรับในระดับนานาชาติในฐานะ "สินทรัพย์ทางการเมืองที่ไม่ซ้ำใคร (Unique Political Asset)" ที่ต่างชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจ มองเห็นและใช้เป็น "ภาษาทางการทูตระดับสูง" ในการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์
ทางการไทยได้ดำเนินการอย่างชาญฉลาดในการ แปลง "ทุนทางสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์" ให้กลายเป็น "สินทรัพย์ทางการเมือง" ซึ่งเป็นผลสำเร็จทางยุทธศาสตร์ที่มิอาจประเมินค่าได้ การแปลงสภาพนี้มิได้หมายถึงการนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง แต่หมายถึงการใช้ความสง่างามและความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาแต่โบราณ เพื่อขับเคลื่อนผลประโยชน์แห่งชาติ
"ทุนทางสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์" ที่ถูกแปลงเป็น "สินทรัพย์ทางการเมือง" นี้ มีคุณูปการในการ "ช่วยสร้างมูลค่าและน้ำหนักการเจรจาทางการทูตให้ไทยดูใหญ่เกินกว่าขนาดเศรษฐกิจจริงของประเทศ" ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของประเทศขนาดกลางให้สามารถยืนหยัดและต่อรองกับมหาอำนาจได้อย่างมีศักดิ์ศรี
"สินทรัพย์ทางการเมือง" นี้ทำหน้าที่เป็น "ฟันเฟืองสำคัญ" ในการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำหน้าที่เป็น "บัตรผ่านพิเศษ (Special Pass)" ที่ช่วยให้ประเทศไทยมีแต้มต่อในการต่อรอง และสามารถประคับประคองสถานะของประเทศท่ามกลางการแก่งแย่งอำนาจของมหาอำนาจได้อย่างมีเสถียรภาพและปลอดภัย
บทสรุป: การธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพแห่งดุลยภาพ
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งนั้น จึงเป็นดังดัชนีชี้วัดที่บ่งบอกถึงความลึกซึ้งของการทูตไทย ที่มิได้พึ่งพาเพียงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจหรือแสนยานุภาพทางทหาร แต่พึ่งพา "ทุนทางสัญลักษณ์" อันเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สั่งสมมาแต่บรรพกาล การใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะ "สินทรัพย์ทางการเมือง" เพื่อดำเนินการ "สมดุลเชิงลึก" ในยามที่ไทยถูกบีบคั้นจากมหาอำนาจตะวันตก ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่บรรลุผลสำเร็จอย่างงดงาม
ปรากฏการณ์นี้มิได้เพียงแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทยเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงคุณค่าอันเป็นสากลของสถาบันที่ต่างชาติให้การยอมรับอย่างสูง และเป็นเครื่องยืนยันว่า ในเกมแห่งอำนาจโลก ความมั่นคงของชาติมิได้วัดกันที่ขนาดเศรษฐกิจ แต่คือความสามารถในการใช้ "ทุนทางสัญลักษณ์" ให้เป็น "สินทรัพย์ทางการเมือง" ได้อย่างชาญฉลาด เพื่อธำรงไว้ซึ่งดุลยภาพและความอยู่รอดของประเทศชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้วางนโยบายต่างประเทศของชาติควรตระหนักถึงคุณค่าและนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินยุทธศาสตร์ต่อไป
แหล่งอ้างอิง
- บูร์ดิเยอ, ปิแอร์. (Pierre Bourdieu). (ม.ป.ป.). อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (34-2 ): ปิแอร์ บูร์ดิเยอ - อำนาจของทุนทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสัญลักษณ์. ผู้จัดการออนไลน์. [อ้างอิงถึงแนวคิดทุนเชิงสัญลักษณ์]
- กระทรวงการต่างประเทศ. (ม.ป.ป.). นโยบายการต่างประเทศ. [อ้างอิงถึงแนวทางการต่างประเทศและการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบันฯ]
- สำนักพระราชวัง. (ม.ป.ป.). สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย กับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ ๕๐ ปี. [อ้างอิงถึงบทบาทของสถาบันฯ ในการเชื่อมความสัมพันธ์กับจีน]
- มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. (ม.ป.ป.). สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย. [อ้างอิงถึงบทบาทโดยรวมของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการเป็นผู้แทนทางการทูต]
- เฟิร์นเควสต์, จอห์น. (Fernquest, John). (2019). The 5S Foreign Affairs Strategy: ไทยแลนด์ 4.0 กับ นโยบายต่างประเทศ. (อ้างอิงถึงความพยายามในการรักษาดุลยภาพของการต่างประเทศ และการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองของไทย)
