In Bangkok
กทม.เข้มเดินหน้ามาตรการรับมือPM2.5 ยกระดับเขตมลพิษต่ำ-คุมแหล่งกำเนิดฝุ่น
กรุงเทพฯ-กทม. เข้มเดินหน้ามาตรการรับมือ PM2.5 ยกระดับเขตมลพิษต่ำ-คุมแหล่งกำเนิดฝุ่น เสริมระบบเตือนภัย ดูแลสุขภาพประชาชนเชิงรุก
นางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) กทม. กล่าวถึงการเตรียมพร้อมมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า กทม. ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ปี 2568–2569 ของ กรุงเทพฯ ในมิติต่าง ๆ ได้แก่ การควบคุมฝุ่นจากแหล่งกำเนิด การติดตามสถานการณ์ฝุ่นและการแจ้งเตือน รวมถึงการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน พร้อมทั้งประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้าง “กรุงเทพฯ อากาศสะอาด” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ประกาศให้พื้นที่กรุงเทพฯ เป็นเขตควบคุมมลพิษช่วงเดือน พ.ย.-มี.ค. ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่กรุงเทพฯ ประสบปัญหาค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน โดยประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 68 ตลอดจนดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองสะสมตัวเพิ่มขึ้นและคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพในช่วงระหว่างวันที่ 28 พ.ย. – 2 ธ.ค. 68 ควบคู่กับการรายงานความก้าวหน้าของมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการยกระดับมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone: LEZ) ครอบคลุมทั้ง 50 เขต เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ โดยเมื่อสถานการณ์วิกฤตจะห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปเข้าพื้นที่ ยกเว้นรถที่ขึ้นทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) ซึ่งได้รับการบำรุงรักษาตามมาตรฐาน อาทิ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศ รวมถึงยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น EV, NGV และ EURO 5–6 โดยปัจจุบันมีรถลงทะเบียนแล้วกว่า 14,000 คัน และยังเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://lez.bangkok.go.th จนถึงเดือน มี.ค. 69
นอกจากนี้ กทม. ได้ส่งเสริมโครงการ Green List Plus ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมลดมลพิษจากยานพาหนะโดยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศที่ศูนย์บริการที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากภาคเอกชนที่ร่วมโครงการตั้งแต่บัดนี้ถึงเดือน ม.ค. 69 และในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการ 348,387 คัน รวมทั้งปรับเพิ่มความเข้มงวดมาตรฐานควันดำไม่เกินร้อยละ 20 จากเดิมร้อยละ 30 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 68 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อให้เจ้าของรถยนต์ดีเซลได้บำรุงรักษารถยนต์ลดควันดำให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมทั้งยกระดับการตรวจรถ ในไซต์ก่อสร้างและสถานประกอบการโดยสุ่มตรวจควันดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝุ่น พร้อมกำหนดให้รถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปต้องลงทะเบียน Green List ทุกคัน อีกทั้งได้ยกระดับมาตรฐานการควบคุมมลพิษในสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำทั้ง 256 แห่งให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ต้องติดตั้งระบบตรวจวัดมลพิษจากปล่องแบบอัตโนมัติ (CEMS) ตลอดจนปรับเพิ่มความเข้มงวดของค่ามาตรฐานจากปล่องหม้อไอน้ำ อาทิ TSP เข้มข้นขึ้น 78% SO₂ เข้มข้นขึ้น 87% และ NOx เข้มข้นขึ้น 60% ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไป
ขณะเดียวกัน กทม. ได้ร่วมมือกับจังหวัดโดยรอบในการลดการเผาชีวมวล เพื่อลดฝุ่นข้ามเขตและลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน รวมทั้งเร่งเพิ่มจำนวนห้องปลอดฝุ่นภายในโรงเรียนสังกัด กทม. และศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน กทม. โดยปี 2568 โรงเรียนดำเนินการแล้วเสร็จ 971 ห้อง จาก 1,966 ห้อง คิดเป็นร้อยละ 49 และศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนดำเนินการแล้วเสร็จ 115 ศูนย์ จากทั้งหมด 262 ศูนย์ คิดเป็นร้อยละ 44 โดยตั้งเป้าหมายดำเนินการครบทั้งหมดภายในเดือน มี.ค. 69 พร้อมกันนี้ยังได้ขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชนปรับรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home (WFH) ทั้งในรูปแบบที่ประกาศใช้เมื่อค่าฝุ่นสูง รวมถึงรูปแบบที่ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติงานจากบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน ตลอดช่วงเดือน ม.ค. 68 – มี.ค. 69 สามารถลงทะเบียนร่วมเป็นเครือข่ายได้ที่ https://u.bangkok.go.th/WFH2569 โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมแล้ว 170,093 คน
สำหรับการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ได้ยกระดับเป็นแบบเรียลไทม์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผ่านแอปพลิชัน AirBKK และระบบเตือนอัตโนมัติ สามารถเฝ้าระวังคุณภาพอากาศครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 50 เขต โดยข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมและประมวลผลจาก “ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร” ตั้งอยู่ที่สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่าการ กทม. (ดินแดง) โดยติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศรวม 74 แห่งและหน่วยเคลื่อนที่ ประกอบด้วย ตู้คอนเทนเนอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ 4 แห่ง สถานีตรวจวัดแบบเสาเหล็ก 46 สถานี รถตรวจวัดคุณภาพอากาศ 4 คัน และเครื่องวัด PM2.5 พร้อมจอแจ้งเตือนในสวนสาธารณะ 20 แห่ง ข้อมูลจากทุกจุดจะถูกส่งเข้าสู่ระบบแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งมีระบบพยากรณ์สถานการณ์ PM2.5 ล่วงหน้าถึง 7 วันผ่านเว็บไซต์และแอป AirBKK เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือได้อย่างทันท่วงที
ส่วนในช่วงที่ค่าฝุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้น กทม. ได้เพิ่มรอบการเผยแพร่รายงานสถานการณ์เป็นวันละ 3 ครั้ง ได้แก่ เวลา 07.00 น. 11.00 น. และ 15.00 น. เพื่อให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน พร้อมมีคำแนะนำการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพที่ชัดเจน โดยแบ่งตามระดับคุณภาพอากาศ ดังนี้ กรณีที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ “เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ” (สีส้ม) เมื่อค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ระหว่าง 37.6 – 75.0 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) แนะนำให้ประชาชนทั่วไปใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร จำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก และควรสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น ไอ ระคายเคืองตา หรือหายใจติดขัด สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ใช้หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากคุณภาพอากาศอยู่ในระดับ “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” (สีแดง) คือค่าฝุ่น PM2.5 มากกว่า 75.1 มคก./ลบ.ม. ขึ้นไป ขอให้ประชาชนทุกคนงดกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองทุกครั้ง และหากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก เวียนศีรษะ หรือแน่นหน้าอก ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวควรอยู่ภายในพื้นที่ปลอดภัยจากมลพิษ เตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ เว็บไซต์ www.airbkk.com เว็บไซต์ประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร www.pr-bangkok.com เฟซบุ๊ก “ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร” เฟซบุ๊ก “สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร” เฟซบุ๊ก “กรุงเทพมหานคร” แอปพลิเคชัน AirBKK ทั้งระบบ iOS และ Android รวมถึงจอแสดงผล ณ สถานีตรวจวัดและจอเคลื่อนที่ภายในสวนสาธารณะ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนช่วยสอดส่องแหล่งกำเนิดมลพิษ หากพบรถปล่อยควันดำ หรือจุดเสี่ยง สามารถแจ้งผ่านระบบ Traffy Fondue เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืนต่อไป
นางดวงพร ปิณจีเสคิกุล ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวว่า สนอ. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการร่วมกับสำนักงานเขต สำนักการโยธา (สนย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุม ตรวจสอบสุขลักษณะ และกำกับมาตรการลดฝุ่นละอองในสถานประกอบกิจการและสถานที่ที่มีโอกาสก่อให้เกิดฝุ่นสูง เช่น โรงงาน สถานที่ก่อสร้าง งานถมดิน และท่าทราย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สนอ. ได้ตรวจประเมินสถานประกอบการกลุ่มเป้าหมายแล้ว 1,298 แห่ง รวมทั้งในช่วงค่าฝุ่นสูงได้กำหนดแผนตรวจกำกับดูแลสถานประกอบกิจการคอนกรีตผสมเสร็จที่มีการร้องเรียนบ่อยครั้งและสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ รวม 60 แห่ง โดยได้ตรวจประเมินแล้ว 58 แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 แห่ง ทั้งนี้ ในรายที่พบข้อบกพร่องได้แนะนำให้ปรับปรุงแก้ไข พร้อมตรวจติดตามและกวดขันให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมฝุ่นละอองในช่วงที่มีฝุ่นละอองสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สนอ. ได้เตรียมพร้อมรองรับผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 โดยศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่งจะแจ้งเตือนค่าฝุ่นละอองให้ประชาชนทราบ พร้อมจัดเตรียมความพร้อมในพื้นที่รับผิดชอบและศูนย์สุขภาพชุมชน โดยกำหนดมาตรการลงพื้นที่เชิงรุกเมื่อค่าฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ระหว่าง 37.6 – 75 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 3 วัน หรือกรณีมีค่ามากกว่า 75 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 2 วัน โดยจะออกหน่วยบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่จัดทีมปฏิบัติการลงพื้นที่ชุมชน เยี่ยมติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง เยื่อบุตาอักเสบ และโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงสนับสนุนหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนในวันที่ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐาน ทั้งภายในศูนย์บริการสาธารณสุขและหน่วยบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบทางสุขภาพของประชาชนในช่วงค่าฝุ่นละอองสูง

