Travel Sport & Entertain

ร้านอาหารกาฬสินธุ์โอดพ.ร.บ.เหล้าฯใหม่ เป็นบอนไซทำร้านค้าร้านค้าเสียโอกาส



กาฬสินธุ์-ผลกระทบจากการประกาศใช้พ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอลฉบับใหม่ ทำให้ร้านอาหารต่างๆ ที่กาฬสินธุ์ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ด้านเจ้าของร้านอาหารลาบก้อย เมนูยอดฮิตของชาวอีสาน และผู้ประกอบการสถานบันเทิงชื่อดังเมืองกาฬสินธุ์ ตบเท้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงเวลา 14:00 -17:00 น. ทำเสียโอกาสสร้างรายได้ ทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ขอให้มีการทบทวนและยกเลิก แนะรัฐบาลแก้ปัญหาประเทศอย่างอื่นดีกว่า ที่จะมาตีกรอบเวลาทำมาหากินของประชาชน ด้านร้านอาหารชื่อดังกาฬสินธุ์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง กฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 ห้ามนั่งดื่มนั่งแช่ วอนเร่งแก้ไข้ด่วน

จากกรณีพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2568 ซึ่งเป็นกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับ พ.ศ. 2551 โดยมีข้อห้ามสำคัญ คือห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ หรือบริเวณที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการ เพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อประโยชน์ในทางการค้าในเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 32 มีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท

ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่ต้องระวังในการบริโภค คือเวลาห้ามขาย และเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามประกาศที่เกี่ยวข้องคือ ช่วงเช้า 00.00 น. ถึง 11.00 น. ช่วงบ่าย 14.00 น. ถึง 17.00 น. ทำให้การนั่งดื่ม ติดลม หรือ นั่งแช่ ในร้านขายหรือให้บริการ หลังเวลา 00.00 น. (เที่ยงคืน) เป็นต้นไป หรือช่วงบ่าย 14.00 – 17.00 น. จึงอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนและถูกปรับได้
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์รายงานว่า กรณีการติดล็อคเกี่ยวกับในเรื่องการจำหน่ายสุราในช่วง 14:00 น. ถึง 17:00 น. ซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อใช้กฎหมาย แม้กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะออกมาดึงเรื่องไว้ เพื่อให้มีการผ่อนผันไปก่อนตามมาตรการ ภายใน 6 เดือนนั้น

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สอบถามความเห็น ของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามร้านอาหารพื้นเมืองอีสานลาบก้อย ซึ่งโดยปกติจะมีการจำหน่ายสุรากันตามปกติ ปรากฏว่าหลังจากที่มีความพยายามจะออกกฎหมายดังกล่าว ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไม่สบายใจเพราะการกระทำนี้จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว รวมถึงวัฒนธรรมการกินของคนอีสาน ที่ชื่นชอบบริโภคเนื้อสด ซึ่งก็จะมีการดื่มเหล้าขาวกันตามปกติ

นางศิริญาพร วงศ์ภัทรโสภณ อายุ 54 ปี ผู้ประกอบการร้านอาหารกำนันบุญส่ง สาขา 3 ปากทางเขื่อนลำปาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า ร้านของตนเน้นเมนูลาบก้อย ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตของชาวอีสาน ตั้งอยู่เส้นทางการท่องเที่ยวและเป็นพื้นที่การเกษตร ทั้งทำนา ตลาดแตงโมแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และแหล่งเลี้ยงกุ้งก้ามกราม การค้าขายเริ่มกลับคึกคัก เนื่องจากเกษตรกรได้ขายผลผลิตทั้งข้าว มันสำปะหลัง อ้อย กุ้งก้ามกราม และเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเป็นซีซั่นแห่งการท่องเที่ยว  มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เริ่มมีกระแสข่าวกล่าวติดล็อคเกี่ยวกับในเรื่องการจำหน่ายสุราในช่วง 14:00 -17:00 น.ดังกล่าว ทำให้บรรยากาศการค้าขายซบเซาลงทันที เพราะแทบจะไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย จะมีก็ในส่วนซื้อไปรับประทานที่บ้าน ลูกค้าไม่กล้านั่งรับประทานที่ร้าน กลัวมีความผิด

นางศิริญาพรกล่าวอีกว่า ช่วงเวลา 14:00 -17:00 น.ดังกล่าว ถือเป็นช่วงทำเงินของร้านอาหารประเภทเมนูลาบก้อย เนื่องจากในภาวะปกติ เป็นช่วงนั่งดื่มหลังรับประทานอาหารเที่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรชาวนา ที่ไปขายข้าวกลับมา หรือกลุ่มพ่อค้าขายกุ้งก้ามกราม ซึ่งถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ โดยที่ผ่านมาจะมานั่งทานข้าวเที่ยงและปิดท้ายด้วยการนั่งดื่มผ่อนคลาย ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน แต่ทุกวันนี้ตั้งแต่มีกระแสข่าวออกมา ไม่มีลูกค้าเข้ามานั่งทานในร้านเลย ทำให้บรรยากาศการค้าขายซบเซา และรายได้หายไปกว่า 70% โดยเฉพาะยอดขายเครื่องดื่ม อย่างเหล้าขาว เบียร์ ลดลงเป็นอย่างมาก จึงอยากให้มีการทบทวนและยกเลิก พ.ร.บ.ตัวนี้ เพื่อสร้างโอกาส ส่งเสริมการขาย และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการร้านค้าขาย ไม่ใช่มาตัดทางทำมาหากิน ปัญหาในประเทศไทยมีมาก เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ ความยากจน ยาเสพติด ชายแดนกัมพูชา น้ำท่วม รัฐบาลเอาเวลาไปแก้ปัญหาประเทศอย่างอื่น ดีกว่าที่จะมาตัดเส้นทางทำมาหากินของประชาชนชนคนรากหญ้า

ขณะที่ นางสาวเบญจมาศ เพชรสังหาร อายุ 41 ปี แม่ครัวร้านเปรี้ยวปาก ร้านอาหารย่านสถานบันเทิง ในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่าลูกค้าของร้านมีทุกกลุ่มวัย เปิดบริการทั้งภาคกลางวันและกลางคืน มีบริการทั้งอาหารตามสั่ง เครื่องดื่ม ตั้งแต่มีข่าวติดล็อคเกี่ยวกับในเรื่องการจำหน่ายสุราในช่วง 14:00 -17:00 น. ส่งผลกระทบต่อการค้าขายเป็นอย่างมาก กลางวันเงียบเหงา และส่งผลถึงภาคกลางคืนด้วย

นางสาวเบญจมาศกล่าวอีกว่า ช่วงหน้าฝนที่ผ่านมา เศรษฐกิจภาพรวมซบเซามาก ลูกค้าเข้าร้านน้อย ผู้ประกอบการค้าขายปิดตัวลงหลายแห่ง แต่ที่ร้านเราพยายามปรับตัว และมีความหวังว่าการค้าขายจะดีขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเริ่มจะมีลูกค้าเข้าร้านเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีรายได้จากการขายสินค้าทางการเกษตร และเป็นฤดูโยกย้ายของส่วนราชการ ที่ปกติจะมาจองโต๊ะ หรือเข้าร้านรับประทานอาหารและสั่งเครื่องดื่มกัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหาร แต่อยู่ๆกลับมี พ.ร.บ.ตัวนี้ออกมา ส่งผลกระทบกับร้านตนและร้านค้าขายทั่วไปเป็นอย่างมาก จึงอยากให้รัฐบาลมีการทบทวนใหม่ หันไปแก้ปัญหาอื่นดีกว่าที่จะผลักดัน พ.ร.บ.ตัวนี้ออกมา ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้ประกอบการค้าขายเลย

ร้านอาหารชื่อดังกาฬสินธุ์ไม่เห็นด้วยห้ามนั่งดื่มนั่งแช่วอนเร่งแก้ไข้ด่วน

จากกรณีพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2568 ซึ่งเป็นกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับ พ.ศ. 2551 โดยมี ข้อห้ามสำคัญ คือห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการ เพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อประโยชน์ในทางการค้าในเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 32 มีความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท

ทั้งนี้ช่วงเวลาที่ต้องระวังในการบริโภค คือเวลาห้ามขาย และเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามประกาศที่เกี่ยวข้องคือ ช่วงเช้า 00.00 น. ถึง 11.00 น. ช่วงบ่าย 14.00 น. ถึง 17.00 น. ทำให้การนั่งดื่ม ติดลม หรือ นั่งแช่ ในร้านขายหรือให้บริการ หลังเวลา 00.00 น. (เที่ยงคืน) เป็นต้นไป หรือช่วงบ่าย 14.00 – 17.00 น. จึงอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนและถูกปรับได้
โดยล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สอบถามร้านความคิดเห็นค้าร้าน ร้านขายภายในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว และเรียกร้องให้รัฐบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบกับการขายอาหาร เครื่องดื่ม การประกอบอาชีพทำมาหากินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ และกระทบกับนักท่องเที่ยวอย่างมาก

นางฉวีวรรณ ชมภูเขา อายุ 69 ปี เจ้าร้านอาหารชื่อดัง “อะมิวเคสเฟ่” ตลาดโรงสี เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 ทั้งนี้ร้านของตน มีกลุ่มลูกค้าทั่วๆไป แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งหลังพ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ส่งผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติ ที่สั่งอาหารประเภทสเต็ก กับเบียร์ รวมถึงลูกค้าที่เดินทางมาไกล เพราะไม่เข้าใจว่าทำไม่สั่งไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงเวลา ช่วงบ่าย 14.00 น. ถึง 17.00 น. ซึ่งตนก็พยายามอธิบายแล้ว แต่บางคนไม่เข้าใจ เปรียบเทียบว่า ที่สนามบิน และโรงแรม ทำไม่ขายได้ แต่ก่อนทำไม่กินได้ บางรายไม่สั่งอาหารลุกหนีจากร้านไปเลย

นางฉวีวรรณ กล่าวต่อว่า ร้านของตน นอกจากจะขายอาหาร เครื่องดื่มแล้ว ยังรับจัดเลี้ยงงานแต่งและงานเลี้ยงต่างๆด้วย ซึ่งหลังมีประกาศกฎหมายนี้มา ทำให้ทางร้านได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้อย่างมากลูกค้าบ่น และหายไปมาก ทั้งนี้ส่วนตัวตนไม่เข้าใจว่า รัฐบาลทำแบบนี้ทำไม ก่อนหน้านี้มีคนละครึ่งพลัส บรรยากาศคึกคักขึ้นมา แต่พอมีกฎหมายนี้ ทำให้รายได้หายไปมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้กฎหมายนี้ใหม่ โดยเฉพาะช่วงเวลาจำหน่ายให้เริ่ม 11.00 น.ลากยาวไปเลย 6 ทุ่มเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่ดื่ม ไม่มีใครนั่งที่จะดื่มกินอยู่ดีๆถึงเวลา 14.00 น.แล้วหยุดช่วงเวลาไว้ พอถึงช่วงเวลาขาย 17.00 น.แล้วนั่งดื่มต่อ ไม่มีใครเขาทำกัน หากจะแอบขายก็ไม่กล้า เพราะกลัวโดนจับ เสียสภาพจิต ทั้งๆที่ ประกอบอาชีพแบบบริสุทธิ์

หากเป็นแบบนี้ร้านค้าร้านขายก็เดือดร้อน ลูกค้าต่างจังหวัดมาอยากกินก็ขายไม่ได้  นักท่องเที่ยวหดหาย จะจัดงานเลี้ยงก็ไม่ได้ จึงได้รับผลกระทบไปตามๆกัน
นางฉวีวรรณ กล่าวอีกว่า อยากทราบถึงสาเหตุว่าทำไมถึงแบ่งช่วงเวลาขาย  

ทั้งนี้รัฐบาลสนับสนุนการท่องเที่ยว ส่งเสริมรายได้ประชาชน แต่ออกกฎหมายมาขัดแย้งกัน อยากให้ผู้เกี่ยวข้องมาลงมาดูสภาพปัญหาในพื้นที่จริง มารับฟังปัญหา หรือความคิดเห็นความต้องการของพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนก่อนด้วยแล้วค่อยเอาไม่เขียนกฎหมาย ไม่ใช่นั่งโต๊ะอยู่ในห้องแอร์แล้วอยากจะออกกฎมายอะไรออก โดยคำนึงถึงผลกระทบ ไม่รู้ว่าเอาสมองส่วนไหนคิด ในฐานะแม่ค้า และตัวแทนร้านค้า ร้านขาย ขอเรียกร้องให้รัฐบาล หรือผู้เกี่ยวข้องแก้ไขกฎหมายฉบับนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นที่ เห็นใจประชาชนและความเป็นจริงด้วย