Health & Beauty
ปวดท้องเรื้อรัง'ไม่ใช่เรื่องเล็ก'เสียงเตือน จาก'ระบบทางเดินอาหารและตับ'
เคยมั้ย…อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ?บางวันรู้สึกแน่นหรือจุกพอหายก็กลับมาเป็นอีก จนเริ่มค่อย ๆ ชินไปเองราวกับว่าร่างกายนั้นอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ แต่ถ้าวันหนึ่งยังนิ่งเฉยและไม่ยอมเริ่มตั้งคำถาม เราคงต้องขอใช้พื้นที่ตรงนี้บอกกับคุณว่า “อาการปวดท้องเรื้อรัง”อาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่คิดเอาไว้
“อวัยวะในช่องท้องของเราไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหารลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่หรือถุงน้ำดี อวัยวะทั้งหมดนี้ทำให้เกิดอาการปวดท้องเรื้อรังได้ฉะนั้นเวลาที่เรามีอาการปวดท้องอย่าด่วนสรุปว่าเป็นโรคกระเพาะเสมอไปเพราะตำแหน่งของอวัยวะและลักษณะของอาการบอกโรคได้ต่างกัน”พญ. ศลิษา เลิศสงวนสินชัยอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับโรงพยาบาลกรุงเทพกล่าวเปิดเรื่องเพื่อให้คุณได้เริ่มสังเกตอาการปวดท้องของตนเอง
ปวดท้องตรงไหน บอกอะไรได้บ้าง?
เรามาลองสังเกตอาการปวดท้องของตนเองว่า จะมีลักษณะอาการตามที่คุณหมอบอกไว้หรือไม่อย่างไร ดังนี้
- ปวดบริเวณลิ้นปี่:อาการปวดแสบร้อนหรือปวดแบบบีบๆ อาจเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบซึ่งสามารถเกิดจากการติดเชื้อHelicobactor pyloriที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ หรือปวดแน่นๆ อาจเกี่ยวข้องกับนิ่วในถุงน้ำดีได้
- ปวดชายโครงขวา:มักจะปวดแบบแน่น มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง หรือมีไข้ อาจเกี่ยวข้องกับถุงน้ำดี เช่น นิ่วอุดตันหรือมะเร็งในทางเดินน้ำดีได้
- ปวดกลางท้องหรือช่องท้องส่วนล่าง:มีลักษณะปวดบิดเกร็งเป็นพักๆมักจะเกิดจากโรคของลำไส้เช่น ลำไส้เแปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือมีก้อนอุดตันในลำไส้ได้
พญ. ศลิษา เลิศสงวนสินชัยพูดเสริมเรื่องนี้ไว้ว่า“ตำแหน่งของอวัยวะที่มีอาการปวดเกิดซ้ำๆ บริเวณเดิม หรือปวดมากขึ้นเรื่อย ๆอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีหรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง”
สัญญาณเตือนของอาการปวดท้อง ถ้าเจอรีบพบหมอด่วน!
ลองเช็กดูว่าในช่วงที่ผ่านมา คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่เพราะนี่อาจจะเป็นสัญญาณอันตราย…ที่เรียกว่า โรคมะเร็งลำไส้หากมีอาการร่วมเหล่านี้ ขับถ่ายมีเลือดหรือมูกปน ขับถ่ายอุจจาระลำเล็กลง หรือท้องผูกสลับท้องเสีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดกลางคืนจนนอนไม่หลับและปวดท้องถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น
พญ. ศลิษา เลิศสงวนสินชัยจึงได้ แบ่งอาการปวดไว้ 2 แบบ ให้ลองสังเกตตนเองอย่างเข้าใจง่ายๆ คือ อาการปวดแบบเฉียบพลันมักบ่งบอกถึงการติดเชื้อหรือการอักเสบ เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ การติดเชื้อในลำไส้ ลำไส้ขาดเลือดเฉียบพลัน ลำไส้อุดตัน ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน นิ่วอุดตันในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี หรืออาจเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดที่อาจปวดท้องส่วนบนได้ และอาการปวดแบบเรื้อรัง ลักษณะอาการจะปวดเป็นๆหายๆ หรือปวดท้องถี่ขึ้นมีความรุนแรงมากขึ้น ร่วมกับอาการที่ส่งสัญญาณเตือนดังกล่าวด้านบนมักจะเกี่ยวข้องกับโรคที่มีความรุนแรงเช่น โรคมะเร็ง หรือโรคลำไส้อักเสบแบบเรื้อรัง
นิสัยกินแบบ “พัง ๆ” ที่ทำให้ร่างกายส่งเสียงประท้วง
ทราบหรือไม่ว่าอาการปวดที่ถูกสะสมไว้มานาน ส่วนใหญ่มักเกิดจาก นิสัยการกินแบบพัง ๆ“ทุกวันนี้คนไทยทานอาหารแคลอรี่สูงมากขึ้นทั้งของทอด ของมัน และอาหารแปรรูป ซึ่งกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายเกิดการอักเสบ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับและมะเร็งได้”พญ. ศลิษา เลิศสงวนสินชัยกล่าวเสริม และมีลิสต์รายการอาหารให้คุณได้เช็กดูว่านี่คือสิ่งที่คุณกินอยู่ประจำหรือเปล่า?
- ของทอดซ้ำหรือปิ้งย่าง: มักมีสารก่อมะเร็งจากการเผาไหม้
- ถั่วแห้งพริกแห้ง:หากเก็บไม่ดีหรือไม่รู้แหล่งที่มา มักจะขึ้นราเสี่ยงให้เกิดสารAflatoxin ซึ่งคือตัวกระตุ้นมะเร็งตับชั้นดี
- ปลาน้ำจืดดิบหรือปรุงไม่สุก: ปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด เช่น ปลาซิว ปลาสร้อย เสี่ยงพบ พยาธิใบไม้ในตับอันเป็นต้นเหตุของ มะเร็งท่อน้ำดี
- ของหวานจัดไขมันสูง:นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับที่อาจกลายเป็น ตับแข็งหรือกระตุ้น มะเร็งตับได้
5 นิสัย เปลี่ยนระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรง
- กิน Real Food ให้มากขึ้น:ลดของแปรรูป เลือกอาหารสดใหม่
- ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์:ช่วยเผาผลาญไขมันในตับ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังระบบย่อยอาหาร
- นอนให้พอ:ร่างกายฟื้นตัว คุมหิวได้คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
- จัดการความเครียด: เพราะความเครียดกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวผิดจังหวะ จนเกิดอาการลำไส้แปรปรวน
- ฟังเสียงร่างกาย : ถ้าปวดซ้ำจุดเดิม หรือผิดปกตินาน อย่าฝืนปล่อยไว้ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัย
ตรวจร่างกายเพื่อป้องกัน ดีกว่าตรวจเพื่อรักษา
ในยุคที่โรคเรื้อรังมาไว การตรวจสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆคือสิ่งที่ควรเริ่มทำโดยเฉพาะการตรวจระบบทางเดินอาหารที่ปัจจุบันสามารถตรวจได้ตั้งแต่การทำงานของตับ ลำไส้ จนถึงการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะ (Helicobacter pylori) เพื่อหาความผิดปกติที่อาจซ่อนอยู่พญ. ศลิษา เลิศสงวนสินชัยอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับโรงพยาบาลกรุงเทพกล่าวปิดท้ายถึงเรื่องระบบทางเดินอาหารไว้ว่า
“โรคมะเร็งระบบทางเดินอาหารป้องกันได้โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการส่องกล้อง ซึ่งในปัจจุบันเป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดเพราะมียานอนหลับให้ บางคนตื่นมา ยังไม่รู้เลยว่า ได้รับการส่องกล้องไปแล้ว เมื่อแพทย์ทำการส่องกล้องเข้าไปจะสามารถตัดติ่งเนื้อที่เจอก่อนที่ติ่งเนื้อเหล่านี้จะโตกลายเป็นมะเร็งได้โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนนั้นก็น้อยมาก สามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียวกันจึงแนะนำผู้ที่มีอายุ 45 ปี เข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ยังไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งในอนาคตค่ะ”
