ECO & ESG
ยุทธจักรอาหารโลก: ไทย-จีนบนสมรภูมิ อำนาจแห่งศตวรรษที่21 โดย..ฟอนต์ สีดำ
บทนำ: เมื่ออาหารกลายเป็นอาวุธใหม่ของโลก
ในศตวรรษที่ 21 โลกมิได้ขับเคลื่อนด้วยเสียงปืน รถถัง หรือหัวรบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่กำลังถูกขับดันด้วยทรัพยากรที่เงียบงัน ทว่าเปี่ยมพลานุภาพอย่างยิ่ง นั่นคือ “อาหาร” เมล็ดข้าวเพียงเมล็ดเดียวอาจมีค่ามหาศาลยิ่งกว่าทองคำในห้วงยามแห่งวิกฤต เมื่อประชากรโลกเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูก น้ำจืด และเสถียรภาพภูมิอากาศกลับลดน้อยลงทุกขณะ
แนวคิดเรื่อง “สงครามอาหาร” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงวาทกรรมเชิงทฤษฎี บัดนี้กลับค่อย ๆ แปรสภาพเป็นความจริงเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศที่สามารถควบคุมเสบียงอาหารได้ ย่อมสามารถควบคุมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การเมือง และอำนาจต่อรองในเวทีโลกได้อย่างลึกซึ้ง
ท่ามกลางความผันผวนหลังวิกฤตโควิด-19 และแรงสั่นสะเทือนจากสงครามการค้า ภาวะโลกร้อน และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ สาธารณรัฐประชาชนจีนคือมหาอำนาจแรกที่มองเห็น “อาหาร” ในฐานะอาวุธเชิงยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม และตัดสินใจเดินเกมอย่างเด็ดขาด ด้วยการกว้านซื้อ กักตุน และวางระบบห่วงโซ่อาหารทั้งในและนอกประเทศอย่างเป็นระบบ ก่อนที่โลกจะตระหนักถึงความอดอยากที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ในกระดานอำนาจใหม่นี้ ประเทศไทยถูกวางหมากให้เป็น “จุดยุทธศาสตร์” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจเป็นหนึ่งในเสาหลักของสมรภูมิอาหารโลกในทศวรรษหน้า
1. ยุทธศาสตร์ Food Security 2030 ของจีน: ป้อมปราการแห่งความอิ่มท้อง
รัฐบาลปักกิ่งมิได้มองความมั่นคงทางอาหารเป็นเพียงนโยบายเกษตรกรรม หากแต่วางสถานะของมันไว้ในระดับ “ความมั่นคงแห่งชาติ” ภายใต้ยุทธศาสตร์ Food Security 2030 ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างเสถียรภาพอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรกว่า 1,400 ล้านคนให้รอดพ้นจากแรงสั่นสะเทือนของวิกฤตโลกอย่างเด็ดขาด
จีนผสานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และระบบบริหารจัดการสมัยใหม่เข้ากับเกษตรกรรมอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การส่งนักวิจัยลงไปทดลองปลูกพืชกลางทะเลทราย การพัฒนาเกษตรในเขตเมือง การใช้โดรน ดาวเทียม และปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ดิน น้ำ และพยากรณ์ผลผลิต ไปจนถึงการนำ Blockchain และ Big Data มาควบคุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ขณะเดียวกัน จีนมิได้พึ่งพาเฉพาะผลผลิตภายในประเทศ แต่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเข้าลงทุนในแหล่งผลิตอาหารทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา ลาตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ประเทศไทย” การลงทุนเหล่านี้มิใช่เพียงการช่วยพัฒนาเกษตรกรรม หากแต่คือความพยายามควบคุมห่วงโซ่อาหารโลกอย่างแนบเนียน ตั้งแต่ไร่นา โรงงานแปรรูป ไปจนถึงระบบโลจิสติกส์ที่ส่งตรงกลับสู่แผ่นดินใหญ่
จีนยังได้สร้างคลังสำรองอาหารขนาดมหึมา ไซโลเก็บข้าวโพดและข้าวสาลีถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศ จนมีรายงานว่าจีนครอบครองเสบียงอาหารหลักของโลกมากกว่าร้อยละ 60 การกักตุนนี้มิใช่ผลจากความหวาดกลัวความอดอยากเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการสร้าง “อำนาจต่อรองระดับโลก” ในวันที่โลกขาดแคลน อาหารจะกลายเป็นเครื่องมือกำหนดราคา การค้า และนโยบายระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ไทย: มหัศจรรย์แห่งอู่ข้าวอู่น้ำและตำแหน่งยุทธศาสตร์ใหม่ของเอเชีย
ท่ามกลางโลกที่เริ่มแห้งแล้งและไร้เสถียรภาพทางอาหาร ประเทศไทยยังคงยืนหยัดเป็นโอเอซิสแห่งความอุดมสมบูรณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบแม่น้ำเจ้าพระยา ปิง วัง ยม น่าน ปริมาณน้ำฝนที่สม่ำเสมอ และดินที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ไทยสามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปีในระดับที่หลายประเทศไม่อาจเทียบเคียง
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเผชิญปัญหาภูมิอากาศอย่างรุนแรง เวียดนามต้องเผชิญน้ำเค็มรุกล้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง กัมพูชาประสบภาวะฝนแล้งซ้ำซาก และอินโดนีเซียเผชิญภัยจากน้ำทะเลหนุน ผลผลิตข้าวของภูมิภาคจึงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า
จีนในฐานะผู้บริโภคอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลกจึงหันมาจับจ้องประเทศไทยอย่างจริงจัง เพราะไทยยังคงมีศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง และมีภูมิปัญญาเกษตรกรรมที่สั่งสมมานานกว่าศตวรรษ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกลับตกอยู่ในภาวะ “อิ่มแต่จน” แม้จะเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ แต่กลับรับผลตอบแทนน้อยที่สุดในห่วงโซ่มูลค่า ราคาสินค้าถูกกำหนดโดยตลาดโลกและพ่อค้าคนกลาง ขณะที่บริษัทอาหารขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ
จีนมองเห็นช่องว่างเชิงยุทธศาสตร์นี้อย่างชัดเจน และมิได้เข้ามาเพียงเพื่อ “ซื้อข้าวเป็นกระสอบ” หากแต่เข้ามาซื้อทั้ง “ระบบ” ตั้งแต่การถือหุ้นในบริษัทอาหาร การลงทุนในโลจิสติกส์เย็น การสร้างห้องเย็นขนาดใหญ่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างเชียงของ เชียงราย หนองคาย เพื่อเตรียมพร้อมขนส่งผลผลิตตรงเข้าสู่จีน
หากไทยรู้เท่าทันและมีวิสัยทัศน์ ประเทศอาจก้าวขึ้นเป็น “ครัวของเอเชีย” อย่างแท้จริง แต่หากยังมองอาหารเป็นเพียงสินค้าเกษตรทั่วไป ไทยอาจถูกครอบงำในทุกมิติอย่างเงียบงัน
3. เส้นเลือดใหญ่แห่งเอเชีย: รถไฟ หยวนดิจิทัล และยุทธจักรโลจิสติกส์
หัวใจของยุทธศาสตร์อาหารจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเข้ากับระบบการเงินสมัยใหม่ โครงการรถไฟจีน–ลาว–ไทย ถูกออกแบบให้เป็น “หลอดเลือดอาหารของเอเชีย” มากกว่าโครงการขนส่งทั่วไป
เส้นทางนี้เอื้อให้ผลไม้ อาหารสด เนื้อสัตว์ และพืชผลจากไทยสามารถเข้าสู่จีนตอนใต้ได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้เร็วขึ้น และลดต้นทุนขนส่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ควบคู่กันนั้น จีนยังผลักดันการใช้ หยวนดิจิทัล (e-CNY) ในการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยตรงกับประเทศคู่ค้า เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มความรวดเร็ว โปร่งใสในการชำระเงิน เกษตรกรสามารถรับเงินได้แทบจะทันทีโดยไม่ต้องผ่านระบบธนาคารระหว่างประเทศแบบเดิม
นี่มิใช่เพียงการค้าขาย หากแต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจคู่ขนานที่จีนกำหนดกติกาได้เองอย่างเบ็ดเสร็จ
4. สมรภูมิข้าว: อาวุธแห่งอำนาจโลก
เมื่ออินเดีย เวียดนาม และหลายประเทศเริ่มจำกัดการส่งออกข้าวจากแรงกดดันด้านภูมิอากาศ โลกจึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน คือฝ่ายที่มีข้าวและฝ่ายที่ต้องนำเข้า
จีนได้กักตุนข้าวมาตั้งแต่ปี 2020 จนถือครองข้าวในคลังสำรองมากกว่าร้อยละ 60–70 ของโลก ข้าวจึงมิใช่เพียงเสบียง หากแต่คืออำนาจต่อรองระดับโลก
ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวชั้นนำ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังสามารถผลิตและส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นที่ต้องการสูงที่สุดในตลาดโลก
หากไทยยังคงขายข้าวตามราคาที่ตลาดโลกและพ่อค้าคนกลางกำหนด ไทยจะยังคงเป็นเพียงผู้ผลิตที่มั่งคั่งน้อยที่สุด แต่หากไทยเข้าใจเกมอำนาจนี้ และสามารถร่วมกำหนดราคากับจีนในฐานะผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดได้ ข้าวไทยจะกลายเป็นขุมพลังแห่งเอกราชทางอาหารอย่างแท้จริง
5. สมรภูมิโปรตีน: วิกฤตแห่งอนาคต
โลกในอนาคตมิได้แย่งชิงเพียงข้าว หากแต่กำลังเข้าสู่ “สงครามโปรตีน” อย่างเต็มรูปแบบ จีนเผชิญภาวะขาดแคลนโปรตีนจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์ โรคระบาด และต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยถูกวางตำแหน่งเป็นฐานผลิตโปรตีนสำคัญของจีน ด้วยอุตสาหกรรมไก่ มาตรฐานฟาร์มกุ้ง ระบบแปรรูปอาหาร และศักยภาพการผลิตที่ครบวงจร
ยิ่งไปกว่านั้น จีนยังมองไกลถึงโปรตีนแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากพืช สาหร่าย เชื้อรา และเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในห้องแล็บ โดยเริ่มส่งบริษัทเทคโนโลยีอาหารเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยในประเทศไทยอย่างเงียบ ๆ
หากไทยสามารถพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางโปรตีนแห่งเอเชียได้จริง จะเกิดอำนาจต่อรองใหม่ในเวทีโลก แต่เงื่อนไขสำคัญคือไทยต้องไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีถูกผูกขาดโดยต่างชาติทั้งหมด
6. สงครามแห่งข้อมูล: โซ่อาหารอัจฉริยะและอธิปไตยทางดิจิทัล
ยุคใหม่ของอาหารมิได้แข่งขันกันด้วยพื้นที่นาเพียงอย่างเดียว หากแต่แข่งขันกันด้วย “ข้อมูล” จีนกำลังสร้างระบบ Smart Food Chain ที่ควบคุมทุกกระบวนการด้วยเทคโนโลยี ตั้งแต่ Blockchain สำหรับการตรวจสอบย้อนกลับ AI และโดรนสำหรับควบคุมคุณภาพ ไปจนถึง QR Code ที่ระบุแหล่งผลิตอย่างละเอียด
ประเทศไทยถูกเลือกเป็นฐานทดลองนอกประเทศจีนในหลายโครงการ สิ่งนี้เปิดโอกาสมหาศาลให้ไทยพัฒนาเทคโนโลยีอาหารของตนเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการถูกครอบงำทางข้อมูล หากไทยไม่มีระบบฐานข้อมูลอาหารแห่งชาติเป็นของตนเอง
ในสงครามอาหารยุคใหม่ “ผู้ที่รู้ข้อมูลมากที่สุดคือผู้ชนะ”
บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์: ไทยกับจีน เสาหลักของโลกปี 2030
โลกในปี 2030 กำลังมุ่งสู่ยุคที่ทรัพยากรอาหารมีค่ามากกว่าน้ำมัน ประชากรโลกจะเข้าใกล้ 9,000 ล้านคน ขณะที่พื้นที่เพาะปลูกและน้ำจืดลดลงอย่างต่อเนื่อง
การผนึกกำลังระหว่างไทยกับจีนผ่านโลจิสติกส์ การเงิน และเทคโนโลยี กำลังก่อรูปเป็น “อาณาจักรอาหารแห่งเอเชีย” อย่างเงียบงัน แต่ทรงพลัง ไทยคือโรงอาหารหลักของจีน และจีนคือตลาดมูลค่าสูงสุดของไทย
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ หากไทยไม่สามารถยืนเป็น “เจ้าของระบบอาหาร” ได้เอง ไทยอาจกลายเป็นเพียงผู้ผลิตวัตถุดิบในระบบเศรษฐกิจของผู้อื่น
โลกอนาคตจะไม่มีประเทศเล็กหรือใหญ่ มีแต่ประเทศที่มีอาหาร กับประเทศที่ต้องขอซื้ออาหาร และประเทศไทยคือฝ่ายแรก หากเรามองเห็นอำนาจของอาหารอย่างแท้จริงและยืนหยัดด้วยวิสัยทัศน์แห่งเอกราช
ในวันที่น้ำมันหมดค่า ดอลลาร์อ่อนกำลัง แต่ข้าวหนึ่งทุ่งมีค่ามากกว่าเหรียญทอง ใครคุมอาหารได้ คนนั้นคุมโลก และประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดยอดของอำนาจใหม่นั้น
แหล่งอ้างอิง
- China’s High-Tech Food Security Push – ChinaObservers
- Agricultural Impact of Climate Change in Southeast Asia – Asian Development Bank
- The Geopolitics of Food Security – SIPRI
- China–Laos Railway Boosts Regional Trade – FreshPlaza
- China Launches Digital Yuan for Cross-Border Trade – China Daily
