EDU Research & Innovation

‘ธรรมศาสตร์’บริการเหยื่อน้ำท่วมสงขลา ติวเข้ม‘รับเงินเยียวยา-เคลมประกัน’



กรุงเทพฯ-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวน 4 ผู้เชี่ยวชาญ ใน 4 ด้าน ให้ความรู้ประชาชนผู้เผชิญเหตุน้ำท่วมภาคใต้ แนะแนวทาง “เคลมประกัน-รับเงินเยียวยา-เช็กความเสี่ยงบ้าน”  ไปจนถึง “แนวทางดูแลร่างกายและจิตใจ” พร้อมทางออกป้องกันเกิดเหตุรุนแรงซ้ำจากอุทกภัย

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2568 ฝ่ายสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดงานเสวนา “รวมพลัง มธ. สร้างภูมิใต้ : ฟื้นฟูตนเองและชุมชนหลังน้ำท่วม” ถ่ายทอดสดผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก Thammasat University เพื่อให้ความรู้และข้อแนะนำที่จำเป็นสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่วมใหญ่ จ.สงขลา ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1. การดำเนินการเรื่องประกัน การขอรับการเยียวยา หรือการรับสิทธิประโยชน์จากการประสบภัย 2. การตรวจสอบและประเมินโครงสร้างที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินทั้งของส่วนบุคคล และสาธารณะเพื่อความปลอดภัย 3. การดูแลร่างกายเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางสุขภาพหลังน้ำท่วม และ 4. การฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ประสบภัย เพื่อเป็นคู่มือให้ประชาชนนำไปใช้จริง

‘ผู้เช่า-เจ้าของบ้าน’ ใครควรได้เงินเยียวยา

ผศ. ดร.พิมพ์กมล กองโภค อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า สำหรับครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้เบื้องต้นจะได้รับเงินเยียวยาจากภาครัฐจำนวน 9,000 บาท แต่มีประเด็นที่อาจเกิดข้อสงสัยคือ ในกรณีที่ที่อยู่อาศัยนั้นมีการทำสัญญาเช่า แล้วใครควรจะเป็นผู้ที่ได้รับเงินเยียวยา ระหว่างเจ้าของบ้านตามกรรมสิทธิ์กับผู้ที่เช่าอยู่อาศัยจริง

ทั้งนี้ คำตอบคือ ผู้เช่าสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินเยียวยาได้ เพราะได้รับความเสียหายการที่ไม่สามารถพักอาศัยได้ในช่วงน้ำท่วมและช่วงแรกที่น้ำลด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งทรัพย์สิน ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ ถ้าหากเป็นกรณีการใช้สิทธิของเจ้าของบ้านซึ่งมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายจะใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวเท่านั้นในการของเงินเยียวยาน้ำท่วม แต่ในกรณีที่เป็นผู้อยู่อาศัยหรือผู้เช่า จำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม เช่น สัญญาเช่าที่เจ้าของบ้านหรือผู้ให้เช่าลงลายมือชื่อ หนังสือรับรองจากเจ้าของบ้าน หนังสือรับรองจาก สท. หรือประธานชุมชน เพื่อยืนยัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังคือการถูกขอแบ่งหรือถูกหักหัวคิวเงินเยียวยาจากผู้ให้เช่าเพื่อแลกกับการลงลายมือชื่อ ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งคู่

สำหรับการชำระหนี้จากสัญญากู้ยืมเงิน ปัจจุบันสถาบันการเงินมีการออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อช่วยลดภาระแก่ผู้ประสบภัย ได้แก่ การพักชำระหนี้เงินต้น เพื่อให้สามารถนำเงินไปฟื้นฟูที่พักอาศัย การลดดอกเบี้ย การขยายเวลาการผ่อนชำระหนี้ด้วย โดยอาจมีการขยายไปได้ถึง 12 เดือนขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน ทั้งนี้แนะนำให้ผู้ประสบภัยติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อขอรับสิทธิตามนโยบายช่วยเหลือดังกล่าว รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายเองก็จะมีสิทธิในการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) สำหรับฟื้นฟูกิจการ และซ่อมแซมอาคารสถานที่ด้วย

‘เหตุสุดวิสัย’ ไม่ถือเป็นลูกหนี้ผิดนัด

ผศ. ดร.พิมพ์กมล กล่าวต่อว่า ในกรณีของลูกหนี้ที่ต้องปฏิบัติชำระหนี้ เช่น การส่งมอบสินค้า ผู้ประสบภัยสามารถให้เหตุผลของการส่งสินค้าล่าช้าว่าเป็น “เหตุสุดวิสัย” ได้ ซึ่งจะช่วยไม่ให้ผู้ประสบภัยต้องตกอยู่ในสถานะการเป็นลูกหนี้ผิดนัด เพราะในเหตุการณ์น้ำท่วมนี้ การเตือนภัยจากภาครัฐมีความขัดแย้งกับข้อมูลการเตือนภัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และสถานการณ์จริงก็รุนแรงกว่าการเตือนภัยจนไม่สามารถรับมือได้ทัน จึงเข้าลักษณะของเหตุสุดวิสัย ซึ่งถือเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้และได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว

ความรู้ ‘เคลมประกัน’ บ้าน-รถ

ผศ. ดร.พิมพ์กมล กล่าวต่อไปถึงการเคลมประกันภัยในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับบ้าน และรถยนต์ว่า หากเป็นบ้านที่อยู่อาศัยต้องดูขอบเขตความคุ้มครองในกรณีที่มีการทำประกันภัยอัคคีภัยว่าขยายความคุ้มครองไปถึงภัยธรรมชาติ เช่น กรณีน้ำท่วมด้วยหรือไม่ ส่วนถ้าเป็นรถยนต์และมีประกันภัยชั้นหนึ่ง อาจไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะความคุ้มครองตามกรมธรรม์ครอบคลุมไปถึงกรณีน้ำท่วมอยู่แล้ว

สิ่งที่แนะนำสำหรับผู้ประสบภัยคือ ต้องเก็บหลักฐานความเสียหายให้มากที่สุด เช่น ถ่ายภาพ หรือวิดีโอ และแนะนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อเป็นหลักฐานประกอบที่ชัดเจนขึ้น จากนั้นค่อยเดินหน้าตามขั้นตอนการเคลมกับบริษัทประกันภัย และหากติดขัดประการใดสามารถติดต่อสายด่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โทร.1186 ได้ แต่ถ้าเป็นประกันภัยชั้น 2-3 โดยหลักจะไม่ครอบคลุมเรื่องน้ำท่วม ยกเว้นเป็นชั้น 2-3 บวก จึงต้องตรวจสอบความคุ้มครองตามกรมธรรม์ให้ถี่ถ้วน

ขอยกตัวอย่างกรณีรถยนต์ติดไฟแนนซ์และมีการทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไว้ ทางบริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยรถยนต์ไปที่ไฟแนนซ์ และหากมีการประเมินแล้วพบว่า ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเกิน 70% จะถือว่าเป็นความเสียหายสิ้นเชิง จากภาพข่าวจะเห็นได้ว่า รถยนต์ที่น้ำท่วมจนถึงหลังคาหรือมิดคันส่วนใหญ่จะเข้าข่ายความเสียหายสิ้นเชิง กรณีเช่นนี้ทางผู้เช่าซื้อไม่จำเป็นต้องจ่ายค่างวดที่ยังไม่ถึงกำหนดหลังจากรถจมน้ำให้ไฟแนนซ์ เนื่องจากตามกฎหมาย เมื่อไม่ใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เช่าซื้อ ถ้าตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย หรือน้ำท่วมมิดคันถือเป็นความเสียหายสิ้นเชิง สัญญาเช่าซื้อจะระงับไป ส่วนในกรณีของส่วนต่างในลักษณะของค่าขาดราคา โดยหลักจะต้องเป็นการผิดสัญญา (ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ) และผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา แต่กรณีน้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องการประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด จึงทำให้การชำระหนี้พ้นวิสัยโดยผู้เช่าซื้อไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ในทางปฏิบัติอาจมีไฟแนนซ์บางบริษัทส่งหนังสือมาเรียกเก็บค่าส่วนต่างเต็มจำนวน หรือเรียกค่าขาดราคา ตรงนี้ทางผู้ได้รับผลกระทบสามารถใช้หลักกฎหมายนี้ในการเจรจากับไฟแนนซ์ได้

“ตามกฎหมายที่มีอยู่อาจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อเป็นเหตุมหาอุทกภัยที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างอาจต้องพึ่งพามาตรการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษจากรัฐด้วย เช่น อาจมีมาตรการช่วยเหลือทางภาษีเพิ่มเติม ซึ่งตอนนี้ BOI ประกาศมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนแล้ว นอกจากนี้อาจพิจารณาออกมาตรการในการลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย รวมถึงรัฐจำเป็นต้องระวังไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาส เช่น การขึ้นราคาสินค้า โดยเฉพาะอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภคจำเป็นต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมผู้ได้รับความเดือดร้อน โดยที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีการกำกับดูแลในประเด็นนี้แล้ว ส่วนมาตรการอื่นๆ จะต้องรอดูความชัดเจนจากภาครัฐต่อไป” ผศ. ดร.พิมพ์กมล ระบุ

สงขลาเป็น ‘ดินทราย’ ก่อนเข้าบ้านต้องเช็กให้ดี

รศ. ดร.สุรภาพ แก้วสวัสดิ์วงศ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหารศูนย์รังสิตและสุขศาสตร์ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเนื่องจากภูมิประเทศของทาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ส่วนใหญ่เป็นดินทราย ปัญหาคือในช่วงน้ำลด การไหลของน้ำจะทำให้เกิดการกัดเซาะได้ง่ายมาก ดังนั้นประชาชนในพื้นที่อุทกภัยจะต้องไปตรวจสอบบริเวณพื้นบ้านว่าเป็นโพรงหรือไม่ โดยเฉพาะบ้านที่เป็นฐานรากตื้นไม่ได้มีเสาเข็มจะค่อนข้างอันตราย และมีโอกาสที่บ้านจะเสียรูปได้ ซึ่งวิธีดูที่ง่ายที่สุดถึงการเสียรูปของบ้านก็คือหากประตูที่เป็นบานพับปิดได้ไม่สนิทก็ควรจะต้องระวัง

นอกจากนี้ วิธีในการตรวจสอบถึงความเสี่ยงที่บ้านจะมีความเสียหายในอนาคตจากน้ำท่วมในครั้งนี้สามารถทำได้ด้วยการสำรวจรอยแตกหลังน้ำลง โดยถ้าเป็นรอยแตกบางๆ เหมือนเส้นผมไม่ได้บ่งบอกถึงความเสียหายอะไร แต่ถ้ารอยแตกกว้างขนาดนิ้วโป้ง หรือมองเข้าไปแล้วเป็นร่องชัดเจน ควรที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่อาศัย หรืออาจจะไปอยู่ที่ศูนย์พักพิง และรอให้ทางวิศวกรเข้าไปสำรวจก่อน เพราะเสี่ยงจะเกิดอันตรายได้

รศ. ดร.สุรภาพ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่ควรต้องมีการตรวจสอบคือเกิดสนิมในคอนกรีต เพราะในอนาคตมีโอกาสที่จะขยายเพิ่มขึ้นได้ และจะทำให้คอนกรีตกะเทาะออกมา ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้โครงสร้างของบ้านเกิดการเสียหายหนักได้ แต่ก็มีวิธีอยู่ซ่อมแซมอยู่คือ อาจจะสกัดคอนกรีตที่เสียหายออกมาและขัดสนิมพวกนั้นออก จากนั้นนำปูนเกร้าท์ (grout) อุดลงไปแทน สิ่งนี้ก็จะช่วยบรรเทาปัญหาสนิมลงไปได้

ทำช่องเปิดในถนน ลดระดับน้ำท่วมสูง

กระนั้น นอกจากฝั่งประชาชนแล้ว ทางหน่วยงานภาครัฐเองก็ควรเริ่มสำรวจบริเวณตลิ่ง เชิงเขา หรือคอสะพานในพื้นที่ที่น้ำท่วมลดลงได้แล้ว เพื่อประเมินว่ามีดินที่ถูกกัดเซาะจนอาจเกิดอันตรายในอนาคตหรือไม่ ส่วนการป้องกันเหตุรุนแรงเกิดซ้ำ ซึ่งตามข่าวคือ อีก 300 ปีจะเกิดอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรอขนาดนั้น ที่สำคัญต้องคำนึงเสมอถึงปัจจัยเรื่องภาวะโลกร้อน (Global warming) ที่อาจส่งผลให้ภาวะแบบนี้เกิดบ่อยขึ้นได้ ดังนั้น ทางออกในทางวิศวกรรมที่ทำได้คือการดันท่อ หรือทำช่องเปิดในถนนบางเส้นที่อยู่ในช่วงพื้นที่เพาะปลูก หรือชานเมืองที่ไม่มีชุมชน ให้สามารถระบายน้ำออกได้ เพราะจากภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเกิดน้ำท่วมที่ จ.สงขลา นั้นมีน้ำบางส่วนถูกหยุดไว้โดยถนนบางเส้น เช่น ถนนลพบุรีราเมศวร์

“แต่การทำช่องเปิดแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าน้ำไม่ท่วมเลย แต่น้ำจะระบายไปลงทะเลสาบสงขลาได้เร็ว และจะไม่ท่วมสูงขนาดนี้ หรือคนยังพอยกของหนีขึ้นได้ นอกเหนือจากนี้ถ้าตามข่าวจะพบว่าถนนพวกนี้บางช่วงเกิดการพัง เพราะว่าน้ำท่วมสูงมาก 3 – 4 เมตร และดันถนนอยู่ ซึ่งหากทำช่องเปิดก็จะช่วยลดพลังงานของแรงดันน้ำด้วย หรือถ้าอีกวิธีที่จะทำให้น้ำลงไวกว่านี้ คือการทำอุโมงค์ระบายน้ำเหมือนในกรุงเทพฯ ซึ่งการก่อสร้างใช้งบเยอะมาก แต่ก็อาจจะถูกกว่าไปทำคลองอีกเส้นหนึ่ง หรือทำพื้นที่รับน้ำเหมือนแก้มลิง” รศ. ดร.สุรภาพ กล่าวเพิ่มเติม

‘ขยะ’ ลอยน้ำ น่ากลัวกว่า ‘ศพ’ ลอยน้ำ

ผศ.รณภูมิ สามัคคีคารมย์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการและสื่อสารองค์กร และอาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มธ. กล่าวว่า จากมหาอุทกภัยที่ภาคใต้ในครั้งนี้สำหรับในด้านสาธารณสุขก็ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเช่นกัน ในประเด็นแรก เรื่องศพของผู้เสียชีวิตนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากนักถึงการแพร่เชื้อใดๆ ที่เป็นอันตราย เพราะไทยมีการจัดการในด้านนี้เป็นอย่างดี รวมถึงในทางพยาธิวิทยามีการพิสูจน์แล้วว่าเชื้อโรคต่างๆ ในร่างกายมนุษย์จะตายไปหลังคนๆ นั้นเสียชีวิตแล้ว 2 ชั่วโมง แต่ก็จะมีบางโรคที่อาจจะแพร่เชื้อจากศพไปสู่คนได้ เช่น วัณโรค หรืออีโบลา ฯลฯ แต่โรคเหล่านี้ไม่ได้เกิดโดยทั่วไป กระนั้น เรื่องของศพผู้เสียชีวิตก็มีผลหลักๆ ในด้านจิตวิทยาสังคม คือมีกลิ่น หรือเป็นภาพที่ไม่น่าดูนั่นเอง

ส่วนสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าว่าจะนำไปสู่โรค คือ การที่มีสัตว์ไปแทะเศษส่วนของศพผู้เสียชีวิต หรือกองขยะที่ถูกนำพามากับน้ำ โดยอยากฝากให้ อปท. หรือหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กรมควบคุมมลพิษ หรือศูนย์อนามัย ควรไปกำกับติดตามการจัดการขยะของ อปท. ด้วย เพราะประชาชนจะมีการนำขยะออกจากบ้านมาทิ้งปริมาณมาก ซึ่งหากนำไปกักเก็บไว้ และจัดการได้ไม่มีประสิทธิภาพพอจะนำไปสู่การเป็นแหล่งเพาะเชื้อจากสิ่งแวดล้อมไปสู่คนได้ และจากปริมาณขยะน่าจะเกินกว่าจะฝังกลบได้แล้ว ดังนั้นตามหลักแล้วควรจะต้องเป็นการห่อซีลขยะ เพื่อป้องกันน้ำจากขยะไหลซึมสู่พื้นดิน หรือแหล่งน้ำ ที่จะนำไปสู่การแพร่เชื้อโรคได้  

ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบก็จำเป็นต้องสำรวจร่างกายว่ามีปัจจัยที่จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้หรือไม่ เช่น มีแผลเปิด ฯลฯ เพราะในช่วงที่กำลังฟื้นฟู และจัดการที่อยู่อาศัย มีโอกาสที่จะเกิดแผลได้ง่าย ดังนั้น คนที่มีผลควรมีการใส่อุปกรณ์ปกปิด อย่างการใส่ถุงมือ และหน้ากากอนามัยอย่างมิดชิด ส่วนถ้ามีแผลใหญ่ก็ไม่ควรไปเผชิญในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคจะดีที่สุด รวมไปถึงอาหารการกินก็ต้องระวัง ซึ่งทางกรมอนามัยก็มีความระวังกับตลาดค่อนข้างมาก และขอฝากไปยังผู้ประกอบการตลาดที่ควรจะมีการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้คลอรีน หรือน้ำยาซักผ้าขาว เพื่อฆ่าเชื้อโรคต่างๆ 

“แน่นอนว่าเห็นใจทางด้านหน้างานที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่หลักการเรื่องสุขาภิบาลก็ต้องระมัดระวัง ก่อนที่จะกลายเป็นผลกระทบด้านอื่นๆ ตามมา ผมคิดว่าทีมปฏิบัติการของ สธ. และกรมอนามัยอาจจะไปไม่ทั่วถึง จึงอยากฝากกลไกของชุมชน หรือเพื่อนบ้าน ไปจนถึงระบบสุขภาพปฐมภูมิ ที่จะต้องมาร่วมช่วยกันในการจัดการ” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวเสริม

ฟื้นฟู ‘จิตใจ’ ตัวเองได้ผ่านแอปฯ DMIND

ผศ.บุรชัย อัศวทวีบุญ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวว่า นอกจากปัญหาจากเชื้อโรคที่จะเกิดกับร่างกายหลังน้ำท่วมแล้ว ทางด้านสภาพจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องหมั่นสำรวจจิตใจของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินตัวเองว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ เพื่อที่จะหาช่องทางได้รับดูแลรักษาสภาพจิตใจ

เนื่องจากแม้ทาง สธ. จะมีทีมสหวิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงไปช่วยเหลือ แต่ก็อาจจะทำได้ไม่ทั่วถึงทุกคน จึงต้องหาช่องทางการดูแลรักษาด้วยตนเองรองรับไว้ด้วย และอยากแนะนำช่องทางหนึ่งคือในแอปพลิเคชันหมอพร้อมจะมีฟังก์ชันการคัดกรองสุขภาวะจิต ที่ชื่อว่า DMIND ซึ่งหากประเมินแล้วมีความเสี่ยงก็จะถูกเชื่อมโยงไปยังสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และได้รับการติดต่อกลับภายในไม่เกิน 1 วัน

ขณะเดียวกันการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจในเชิงลบ เช่น ข่าวความสูญเสียจากน้ำท่วมที่ อ.หาดใหญ่ ทางประชาชนเองที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมถ้าสำรวจตัวเองแล้วมีความรู้สึกเชิงลบจากการรับข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ก็จำเป็นจะต้องจำกัดขอบเขตการรับรู้ข้อมูล และเลือกการรับข้อมูล พร้อมกับอยู่กับสภาพความเป็นจริง และความสูญเสียให้ได้ ตลอดจนมองหาความหวังในการมีชีวิตอยู่ เช่น ยังมีการช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ อยู่ แม้จะทดแทนกับสิ่งที่เสียไปไม่ได้ แต่ก็ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ฝั่งผู้ช่วยเหลือทั้งภาครัฐ และเอกชนเอง ก็ต้องวางแผนในการช่วยเหลือให้มีความต่อเนื่องจนสามารถผู้ประสบภัยตั้งตัวได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างความหวังได้อย่างแท้จริง เพราะโดยธรรมชาติเมื่อสถานการณ์มีทิศทางที่ดีขึ้นการช่วยเหลือจากภาคส่วนต่างๆ ก็จะลดลงตามการคลี่คลายของสถานการณ์วิกฤต และอาจทำให้ผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งยังไม่อยู่ในภาวะที่ฟื้นตัวเองได้เกิดความรู้สึกหมดหวัง