Digitel Tech & AI

ชไนเดอร์เผยผลGreen Impact Gap ชี้องค์กรไทย52%ใช้AIตัวเร่งเปลี่ยนผ่าน



กรุงเทพฯ-ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เปิดผลสำรวจ “Green Impact Gap” ประจำปี 2568 ชี้องค์กร 52% ใช้ AI เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ขณะที่ 1 ใน 3 ขององค์กรในประเทศไทยมองความผันผวนทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุน

Schneider Electric Green Impact Gap Survey จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight โดยสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับกลางถึงระดับสูงในภาคเอกชน 4,500 คน ใน 9 ประเทศทั่วเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทยและเวียดนาม เพื่อสะท้อนมุมมองของภาคเอกชนต่อการลงทุนและการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยผลการสำรวจประจำปี 2568 ชี้ให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจในประเทศไทยมอง ‘ความยั่งยืน’ เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางภูมิศาสตร์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน

สำหรับปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในปีที่โลกเผชิญกับผันผวนทางเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งผลสำรวจ 59% ของซีอีโอในไทยขับเคลื่อนความยั่งยืนขององค์กรด้วยการสร้างนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขัน และมองว่าความยั่งยืนนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ ขณะที่ 43% ของซีอีโอในไทยให้เหตุผลว่า การดำเนินงานด้านความยั่งยืนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ และ38% ของซีอีโอในไทยระบุว่า ความยั่งยืนช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจในภาวะวิกฤต โดยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนมุมมองจากเดิม ที่มองความยั่งยืนเป็นเพียงส่วนเสริมทางธุรกิจเท่านั้น แต่ปัจจุบันมองเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำพาธุรกิจผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย

ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและข้อจำกัดด้านงบประมาณภายในองค์กรยังคงเป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น แรงจูงใจที่ไม่ดีพอ 37% ความไม่แน่นอนของนโยบายและ 34% และความยุ่งยากทางราชการที่เกี่ยวข้อง 42% ซึ่งปัจจัยอุปสรรคการลงทุนดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภูมิทัศน์สำหรับความยั่งยืนของภาคเอกชนในประเทศไทยได้กลายเป็นที่น่าสนับสนุนมากยิ่งขึ้น

AI ปลดล็อกการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

เครื่องมือดิจิทัลขั้นสูงอย่าง AI กำลังช่วยให้องค์กรต่างๆ จัดการกับความเสี่ยงทางการเงินและพลังงานได้ องค์กรมากกว่าครึ่งของไทยกำลังนำโซลูชั่น AI มาใช้สนับสนุนด้านความยั่งยืน โดย 43% ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรซึ่งเป็นวิธีที่องค์กรในไทยใช้ดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนสูงที่สุดตลอดทั้งปี 2567 และ 2568

โดย 52% ขององค์กรในไทยเชื่อว่าประโยชน์สูงสุดของ AI ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลและการรายงานอัตโนมัติ ขณะที่ 54% ขององค์กรในไทยมองว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ 45% ขององค์กรในไทยใช้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วย AI ถือเป็นการตอบโจทย์ความเสี่ยงสำคัญขององค์กรเนื่องจาก 45% ขององค์กรในไทยระบุว่า ราคาพลังงานที่ผันผวนเป็นความเสี่ยงหลักที่ต้องบริหารจัดการ และยังคงเป็นปัญหาที่พบในทุกประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจตั้งแต่ปี 2566

อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้นำนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน

ผู้ตอบแบบสอบถามในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มมากที่สุดถึง 46% จาก 40% ในปี 2566 ที่ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของโอกาสทางธุรกิจ คือปัจจัยขับเคลื่อนหลักด้านความยั่งยืน และยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มมากที่สุดเช่นกันถึง 58% ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน โดยแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้โซลูชั่นที่รวดเร็วและยั่งยืน เนื่องจากความต้องการพลังการประมวลผลของประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ผู้บริหารในประเทศไทย 41% กำลังดำเนินการตามแผนและนโยบาย Green IT เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลโดยทั่วไปขององค์กร ในขณะเดียวกันอุปสรรคในการดำเนินงานกำลังลดลง โดยองค์กรต่างๆ มีแนวโน้มที่จะรายงานปัญหาน้อยลง เช่น ปัญหาขาดแคลนทางเลือกพลังงานสะอาด มีการรายงานปัญหาจาก 32% ในปี 2566 ลดลงเหลือเพียง 27% ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์จาก 38% พบปัญหาเพียง 31% ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของทางเลือกพลังงานสะอาดจาก 42% ลดลงเป็น 37% และปัญหาอุปสรรคด้านกฎระเบียบจาก 31% ลดลงเป็น 29% ซึ่งผลสำรวจสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านด้านความยั่งยืนที่รวดเร็วยิ่งขึ้น

การลงทุนยังคงทรงตัวแม้จะมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ในขณะที่ผู้บริหารเล็งเห็นถึงผลกำไรที่มาพร้อมกับความยั่งยืน การลงทุนที่ได้วางแผนไว้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจึงยังคงทรงตัว โดย 41% ของบริษัทที่วางแผนจะลงทุนอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้ แม้ยังคงมีปัจจัยหลักที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ได้แก่ 48% อุปสรรคด้านความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 47% ข้อจำกัดด้านงบประมาณภายใน และ37% แรงจูงใจจากภาครัฐที่ยังไม่เพียงพอ

มงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยไม่เพียงต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังใช้ความยั่งยืนเป็นเข็มทิศในการนำทางด้วย ซึ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังคงผันผวนผู้ที่ปรับตัวได้เร็วนั้น กำลังใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI ในการปลดล็อกด้านต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยงและสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความไม่สอดคล้องกันระหว่างเป้าหมายกับการลงมือทำ

แม้ผลสำรวจสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นขององค์กรไทยในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน แต่ยังคงมี ‘ช่องว่างระหว่างคำมั่นกับการปฏิบัติจริง’ หรือที่เรียกว่า Green Impact Gap โดยปีนี้ 98% ขององค์กรตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มี ไม่ถึงครึ่งที่ลงมือทำอย่างจริงจัง ซึ่งช่องว่างดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับ 47% เช่นเดียวกับปี 2567 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศปี 2573 โดย 91% ขององค์กรในประเทศไทย มั่นใจว่าจะบรรลุหรือทำได้เกินกว่าเป้าหมาย และ30% ระบุว่าสามารถทำได้เร็วกว่ากำหนดมากกว่า 3 ปี โดยเฉพาะองค์กรที่มีการรับรองเป้าหมายจากบุคคลที่สามอย่างเป็นทางการ ซึ่งมี 51% ที่ทำได้เร็วกว่ากำหนด ขณะที่องค์กรที่ตั้งเป้าหมายแต่ไม่เปิดเผยความคืบหน้าสู่สาธารณะจะมีแนวโน้มที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายอยู่ที่ 9% ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความโปร่งใสและการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามในการรายงานผลด้านความยั่งยืน