SUSTAINABILITY
ทีอีไอร่วมทน.น้ำและเครือข่ายเปิดเวที 'เมืองรุกโลกร้อนกับชะตาพื้นที่ชุ่มน้ำ'
กรุงเทพฯ, 23 ธันวาคม 2568 – สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ร่วมกับ กรมทรัพยากรน้ำ และองค์กรภาคี จัดงานเสวนาวิชาการ “เมืองรุก โลกร้อน กับชะตาพื้นที่ชุ่มน้ำ” ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพเมืองและธรรมชาติในการตั้งรับปรับตัวต่อวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Urban Resilience Building and Nature : URBAN) โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมกว่า 250 คน เพื่อร่วมหารือการยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นกลไกสำคัญของการพัฒนาเมืองและการรับมือวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

ช่วงพิธีเปิดงาน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้กล่าวเชื่อมโยงพื้นที่ชุ่มน้ำกับบริบทของโลกที่กำลังเผชิญ วิกฤติ Triple Crisis ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษสิ่งแวดล้อม พร้อมเน้นย้ำว่าพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่ที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับน้ำหลาก ดูดซับคาร์บอน ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ และเป็นฐานทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงคุณภาพชีวิตของประชาชน

นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวถึงภารกิจและแผนยุทธศาสตร์ของกรมทรัพยากรน้ำ ที่มุ่งเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงการวางผังเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจ และการจัดการทรัพยากรน้ำเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
ขณะที่โครงการ URBAN ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก International Climate Initiative (IKI) ของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก็มุ่งเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของเมืองและภูมินิเวศโดยรอบ ผ่านการบูรณาการข้อมูลวิชาการ กระบวนการมีส่วนร่วม และเครื่องมือเชิงนโยบาย พร้อมทั้งประยุกต์ใช้แนวคิดการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน Nature-based Solutions (NbS) ในพื้นที่นำร่องจังหวัดเชียงรายและสุราษฎร์ธานี เพื่อพัฒนาต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำที่สามารถขยายผลในระดับประเทศ
ในช่วงปาฐกถาพิเศษ ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ที่ปรึกษาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้สะท้อนภาพรวมสถานการณ์พื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และสภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำจำนวนมากเสื่อมโทรมลง พร้อมเสนอให้ยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติของเมือง

ตลอดการเสวนา ผู้เข้าร่วมได้ร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์พื้นที่ชุ่มน้ำจากพื้นที่จริง รวมถึงบทเรียนจากพื้นที่นำร่องและพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านการบูรณาการแผนงาน การประสานงานข้ามหน่วยงาน และช่องว่างระหว่างนโยบายกับการปฏิบัติในระดับพื้นที่ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของเวที คือการแลกเปลี่ยน เครื่องมือทางนโยบายและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง อนุรักษ์ และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยเฉพาะความทิศทางของ ร่างพระราชบัญญัติพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ครอบคลุม และเอื้อต่อการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพัฒนาแนวทางการพิจารณาอนุมัติโครงการ และแนวทางการออกแบบโครงการด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
เวทีเสวนายังเน้นย้ำว่า การดูแลและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มความสามารถของเมืองในการรับมือทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ช่วยลดความเปราะบางของเมืองต่อความผันผวนของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันให้พื้นที่ชุ่มน้ำถูกยกระดับจาก “พื้นที่รองรับผลกระทบ” ไปสู่ “กลไกเชิงนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานของเมือง” ที่เชื่อมโยงการพัฒนาเมือง การจัดการทรัพยากรน้ำ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่ออนาคตของเมืองและพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยั่งยืนร่วมกัน

