Authority & Harm
คืบหน้าล่าสุดนักเรียนชาวเขาถูกล่อลวง จากคนขี่รถซาเล้งเก็บของเก่ายังไร้วี่แวว

สิงห์บุรี- คืบหน้าล่าสุด เด็กนักเรียนชาวเขาถูกล่อลวงหายไปกับคนขี่รถซาเล้งเก็บของเก่ากว่าอาทิตย์ แม่ร่ำไห้วอนคนร้ายพาตัวกลับคืน
จากกรณีที่มีการประกาศตามหา เด็กนักเรียนชาวเขา ชื่อ น้องมัว ด.ช.ณัชพล สมภพวรพงษ์ อายุ 13 ปี ซึ่งมีบ้านเดิมอยู่ที่ อ.พบพระ จ.ตาก ได้หายออกไปจากวัดโฉมศรี ซึ่งมีโรงเรียนศรีอุดมวิทยา ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นโรงเรียนที่รับเด็กชาวเขาที่ยากจนมาเรียนแบบอยู่ประจำ โดย น้องมัว ได้หายจากวัดไป เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 เวลาประมาณ 11.30 น. สอบถามเด็กๆ ในวัดได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 11.30 น.พบเห็นมีคนขี่รถซาเล้งเก็บขยะเป็นชาย อายุประมาณ 50 ปี ขี่รถซาเล้งมาเก็บขยะที่ด้านหลังวัด และได้พูดจาชวน น้องมัว คุยกัน และพบเห็น น้องมัว นั่งไปในรถซาเล้ง กับชายคนดังกล่าว จนบัดนี้ น้องมัว ก็ยังไม่กลับมาที่วัดอีกเลย
คืบหน้าล่าสุดของวันนี้ 22 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังสภ.อินทร์บุรี เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อดูจากกล้องวงจรปิดจึงทราบว่า ชายคนที่ขี่ซาเล้งนั้น ทราบชื่อภายหลังคือ นายปิยะพงษ์ หนองเฆ่ (บอย) แต่คนอื่นเรียกกันว่า นายพัน อายุ 36 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.ท่างาม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี แต่ได้มาอยู่ในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ประมาณ 6 ปี โดยทำอาชีพขี่ซาเล้งเก็บของเก่าขาย จนวันนี้ได้ขี่มาเก็บของเก่าที่หลังวัดโฉมศรี และได้มาเจอ น้องมัว จนลักพา น้องมัว ขึ้นรถซาเล้งไปโดยดูจากกล้องวงจรปิด จะเห็นว่า นายพัน ใช้เส้นทางขี่รถซาเล้งจากวัดบางโฉมศรี ผ่านวัดกำแพง ผ่านตลาดอินทร์บุรี จนถึงสี่แยกไฟแดง นายพันก็ได้เลี้ยวซ้ายมุ่งไปทาง อ.เมืองสิงห์บุรี ซึ่งคาดว่าพากลับไปที่พักที่ นายพัน ได้ไปเปิดห้องพักที่ โรงแรมสันติสุข เขตตัวเมืองสิงห์บุรี ซึ่งตรงกับที่ นางสาว ศิริพร เฮียพุดซา แม่บ้านของโรงแรมที่เล่าว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 นายพัน ได้พาเด็กผู้ชายมาด้วยหนึ่งคน จากนั้นเช้าวันที่ 17 กันยายน 2566 ก็ได้พากันออกไปและไม่กลับมาที่ห้องอีกเลย จากภาพกล้องวงจรปิดช่วงเช้าจะเห็นนายพันขี่รถซาเล้งผ่านไปทางวัดพระนอนจักสีห์มุ่งหน้าไปทาง อ.ค่ายบางระจัน สำหรับพฤติกรรมของ นายพัน นั้นจะออกไปทางผู้หญิง ชอบตีสนิทกับเด็กผู้ชายที่มีปัญหาทางบ้าน หรือเด็กติดเกมส์ แล้วจะพูดจาดี เอาใจเด็กโดยซื้อของให้ ให้เงินใช้ แล้วจะพาเด็กผู้ชายมานอนค้างคืนเปลี่ยนหน้าอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะพักที่ไหนก็ตาม
ล่าสุดวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบญาติของ นายพัน ซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน อ.อินทร์บุรี ชื่อ ลุงแดง นายวินัย คำดี อายุ 66 ปี โดย ลุงแดง เล่าว่า นายพัน นั้นชื่อเล่นว่า บอย แต่ตนไม่เข้าใจว่าทำไมไปบอกคนอื่นว่าชื่อ พัน โดยตนเป็นน้องชายของย่าของ นายบอย ซึ่ง นายบอย นั้นมีนิสัยเกเร และเป็นประเภทชายรักชาย แต่ตนไม่ได้ติดต่อกับ นายบอย มา 2 ปีแล้ว และบอกชื่อจริง นามสกุลจริง ของนายบอย ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไป
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเช็คประวัติของ นายบอย จึงทราบว่า นายบอย หนีหมายจับของ ศาลจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ในข้อหา "พรากเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล, พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่สามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพฯ, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย" และยังก่อคดีเมื่อเดือนกันยายน 2560 นายบอย ได้ล่อลวงเด็กชาย 4 คน อายุประมาณ 11-13 ปี ไปทำอนาจารในป่า บริเวณหมู่บ้านโคกไข่เต่า ต.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี แต่โชคดี มีเด็กคนหนึ่งหนีรอดออกมาได้และได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจให้มาช่วยเหลือได้สำเร็จ จึงคาดว่า นายบอย ได้หนีหมายจับมาตั้งแต่ตอนนั้นมาอยู่ที่ จ.สิงห์บุรี โดยใช้ชื่อคนอื่นมาแทนตัวตลอด ทำให้คนอื่นรู้จักแต่ชื่อ นายพัน อย่างเดียว
เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า นายบอย นั้นได้นำรถซาเล้งไปขายที่ร้านแห่งหนึ่งที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จึงไปตามยึดของกลางมาไว้ที่ สภ.อินทร์บุรี และจะได้เร่งติดตามตัว นายบอย เพื่อมาดำเนินคดี และนำตัว น้องมัว มาคืนสู่อ้อมอกแม่จินดา ที่ร่ำไห้วอนนำลูกมาคืนตนซักที
จินตนา ปานมี ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สิงห์บุรี