Think In Truth
สงครามยุคดิจิทัล: กองทัพไทย/ศักยภาพ ของระบบC4ISR โดย: ฟอนต์ สีดำ

ภูมิทัศน์ใหม่ของสงครามในศตวรรษที่ 21
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศกลายเป็นเส้นเลือดหลักของโลกยุคใหม่ สงครามก็เปลี่ยนรูปแบบจากการเผชิญหน้าในสนามรบแบบดั้งเดิม สู่สมรภูมิที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความเร็ว และการตัดสินใจอันแม่นยำ ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, Reconnaissance) ได้กลายเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์การทหารสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกองทัพที่ต้องการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงในยุคที่ขอบเขตของศัตรูไม่ได้อยู่แค่บนแผนที่ แต่แฝงอยู่ในโครงข่ายข้อมูลทั่วโลก
กองทัพไทยกับการก้าวสู่ระบบ C4ISR อย่างเต็มรูปแบบ
กองทัพไทยได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์นี้อย่างชัดเจน การพัฒนาและปรับใช้ระบบ C4ISR จึงไม่ใช่เพียงแค่การจัดซื้อเทคโนโลยี แต่เป็นการลงทุนเชิงระบบที่ครอบคลุมถึงการฝึกอบรมบุคลากร การพัฒนาระบบการสื่อสารแบบเข้ารหัส การเชื่อมโยงข้อมูลจากอากาศยานไร้คนขับ (UAV) กับระบบวิเคราะห์กลาง ตลอดจนการกำหนดยุทธวิธีใหม่ในแนวรบ
ตามรายงานของสื่อสากลหลายสำนัก กองทัพไทยได้นำระบบนี้มาใช้จริงในการลาดตระเวนชายแดน โดยอาศัยการบินของโดรนเพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ ส่งตรงไปยังศูนย์บัญชาการ ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์แบบเร่งด่วน ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งต่อไปยังหน่วยปฏิบัติการที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วินาที
เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวกรอง ความเข้าใจในระบบปฏิบัติการแบบ Network-centric Warfare และการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในสถานการณ์วิกฤต
การออกแบบระบบยังแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ (1) ชั้นเก็บข้อมูล (2) ชั้นวิเคราะห์ (3) ชั้นประมวลผลยุทธวิธี และ (4) ชั้นคำสั่ง-ปฏิบัติการ โดยทั้ง 4 ชั้นทำงานประสานกันแบบอัตโนมัติและรวดเร็ว ช่วยให้ผู้บัญชาการสามารถออกคำสั่งโจมตีหรือเคลื่อนย้ายกำลังพลได้โดยมีข้อมูลรองรับครบถ้วน
ศักยภาพที่ทัดเทียมกองทัพระดับโลก
ความสำเร็จของระบบ C4ISR ของกองทัพไทยเริ่มปรากฏผลชัดเจน จนสื่อต่างประเทศบางแห่งเปรียบเทียบขีดความสามารถของไทยว่าอยู่ในระดับเดียวกับกองทัพอิสราเอลซึ่งมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีการทหารระดับสูง ระบบของไทยไม่เพียงสามารถสกัดกั้นภัยคุกคามตามแนวชายแดนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถประสานการรบข้ามมิติ ทั้งบก อากาศ และทางทะเล อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนเริ่มแสดงความสนใจในเทคโนโลยีดังกล่าว และมีการหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้ ความร่วมมือด้านปฏิบัติการ รวมถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคร่วมกัน
ปฏิบัติการแนวใหม่: สมรภูมิชายแดนไทย-กัมพูชา
กรณีศึกษาที่สะท้อนศักยภาพของระบบ C4ISR อย่างเป็นรูปธรรมคือ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2025 โดยกองทัพไทยได้นำระบบ C4ISR มาใช้ในการประสานยุทธวิธีทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และทางเรือ ในลักษณะปฏิบัติการผสมที่เน้นความเร็วและความแม่นยำ
ผลลัพธ์จากการปฏิบัติการครั้งนี้คือ กองทัพไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายในเวลาอันสั้น พร้อมทั้งลดการสูญเสียของกำลังพลฝ่ายตนได้อย่างมาก ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาต้องเผชิญกับความเสียหายร้ายแรง โดยเฉพาะหน่วยรบพิเศษ BHQ ที่สูญเสียกำลังพลถึงกว่า 700 นาย จากยอดรวมผู้เสียชีวิต 6,276 นาย นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่เกิดจากการใช้ระบบข้อมูลและการตัดสินใจแบบเรียลไทม์
ยุทธศาสตร์แห่งอนาคต: จากกำลังพลสู่ข้อมูลข่าวสาร
ภาพรวมของยุทธศาสตร์กองทัพไทยในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นว่า การรักษาอธิปไตยไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของกองทัพหรือจำนวนอาวุธเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ความแม่นยำในการวิเคราะห์ และความรวดเร็วในการตัดสินใจล้วนเป็นปัจจัยชี้ขาดชัยชนะในศึกยุคดิจิทัล
การก้าวเข้าสู่ยุคของ C4ISR จึงเป็นมากกว่าการปรับเปลี่ยนทางเทคโนโลยี หากแต่เป็นการปฏิวัติวิธีคิดและวิธีรบของกองทัพไทยอย่างแท้จริง
สงครามที่ไร้รูปแบบ แต่ไม่ไร้ทิศทาง
เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวกรอง ความเข้าใจในระบบปฏิบัติการแบบ Network-centric Warfare และการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในสถานการณ์วิกฤต
ในศตวรรษที่ 21 ไม่มีสงครามใดจะดำเนินไปโดยปราศจากข้อมูล และไม่มีกองทัพใดจะอยู่รอดได้หากปราศจากความสามารถในการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ การปรับตัวของกองทัพไทยผ่านระบบ C4ISR จึงไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงศักยภาพของประเทศเล็กในเวทีภูมิภาคที่สามารถยืนหยัดท่ามกลางความซับซ้อนของสงครามยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง