ECO & ESG

'พะยูน'ลดลง!! เป็นสัญญาณเตือนจาก ท้องทะเลไทย'วันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ'



กรุงเทพฯ-“พะยูน” หรือที่หลายคนเรียกอย่างเอ็นดูว่า “น้องหมูน้ำ” หรือ “วัวทะเล” คือสัตว์ทะเลสงวน ที่เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของระบบนิเวศหญ้าทะเลในประเทศไทย ปัจจุบันสถานะของพะยูนกำลังส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน ปี 2566 เหลือเพียง 282 ตัวในฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, 2567) การลดลงของประชากรพะยูนไม่ใช่แค่ปัญหาสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ แต่สะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศชายฝั่งและทะเลไทยโดยตรง

 ข้อมูลสถิติพบว่า...

  • ปี 2564: พบพะยูน 261 ตัว (อันดามัน 229 ตัว / อ่าวไทย 32 ตัว)

  • ปี 2565: เพิ่มเป็น 273 ตัว (อันดามัน 242 ตัว / อ่าวไทย 31 ตัว)

  • ปี 2566: เพิ่มเป็น 282 ตัว (อันดามัน 250 ตัว / อ่าวไทย 32 ตัว)

แม้จำนวนดูเหมือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ตัวเลขการตายกลับน่าตกใจ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ระบุว่า ปี 2562–2567 พะยูนมีการตายเฉลี่ยอยู่ที่ 25 ตัวต่อปี เพิ่มจากปี 2548–2561 ที่เฉลี่ยปีละ 13 ตัว และยังมากกว่าอัตราการเกิดใหม่ที่มีเพียง 17.5 ตัวต่อปีเท่านั้น ช่วงต้นปี 2568 สูญเสียไปแล้วมากกว่า 13 ตัว (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568) ขณะที่ปี 2567, 2566, 2565, 2564, 2563 มีพะยูนเสียชีวิต 42, 40, 19, 25 และ 16 ตัวตามลำดับ สะท้อนว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พะยูนไทยตายแล้วกว่า 142 ตัว

 ผลการชันสูตรพบว่า ส่วนใหญ่พะยูนตายเพราะผอมแห้งจากการขาดอาหาร อันมีสาเหตุมาจาก การลดลงของหญ้าทะเล ซึ่งเป็นอาหารหลัก โดยหญ้าทะเลลดลงจากหลายปัจจัย เช่น

  • คลื่นลม อุณหภูมิน้ำทะเล

  • การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ

  • ปริมาณน้ำจืด และการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมชายฝั่ง เช่น ตะกอนจากการถมทะเล เกษตรกรรม การท่องเที่ยว

  • กิจกรรมมนุษย์ที่ทำลายถิ่นอาศัยและแหล่งอาหาร เช่น การปล่อยน้ำเสีย การสร้างท่าเรือ การขุดร่องน้ำ การก่อสร้างที่ทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง และขยะจากเรือประมงและเรือท่องเที่ยว รวมทั้งการลักลอบขุดหญ้าทะเลจำหน่าย

นอกจากนี้ พะยูนยังตายจากการป่วย การติดเครื่องมือประมง การชนเรือ และการกินขยะทะเลโดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะพลาสติก ซึ่งอุดตันทางเดินอาหารจนขาดสารอาหารและเสียชีวิตในที่สุด ในระดับโลก พะยูน (Dugong dugon) ถูกจัดอยู่ในบัญชีแดง IUCN ให้มีสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์” (Vulnerable) โดยมีการกระจายพันธุ์ในกว่า 37 ประเทศ ตั้งแต่ชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา ผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตก อย่างไรก็ตาม ประชากรโลกได้ลดลงราวร้อยละ 20 ในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา และบางพื้นที่ เช่น แอฟริกาตะวันออกและนิวแคลิโดเนีย ถูกจัดให้อยู่ในภาวะ “ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง” (Critically Endangered) สาเหตุหลักมาจากการสูญเสียแหล่งหญ้าทะเล การติดเครื่องมือประมง การชนเรือ มลภาวะชายฝั่ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายประเทศได้นำมาตรการอนุรักษ์เข้มงวดมาใช้ เช่น ออสเตรเลียจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลขนาดใหญ่ (Marine Protected Areas) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนห้ามใช้เครื่องมือประมงที่คุกคามพะยูน ขณะที่อียิปต์กำหนดเขตอนุรักษ์เฉพาะในทะเลแดง นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงความร่วมมือระดับนานาชาติภายใต้ Dugong MoU ของอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์อพยพ (CMS) เพื่อผลักดันการฟื้นฟูและติดตามประชากรพะยูนในทุกภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมตั้งแต่ ปี 2554 และมีพื้นที่คุ้มครองทางทะเล 28 แห่ง แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาและฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลอย่างยั่งยืน

สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าระบบนิเวศชายฝั่งของไทยกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก หญ้าทะเลซึ่งเป็น “สัญญาณชีวิต” ของทะเลกำลังร่อยหรอ หากไม่มีการฟื้นฟูอย่างจริงจัง พะยูนจะต้องอพยพหรือสูญพันธุ์ และความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลไทยจะหายไป 

จากเหตุการณ์สูญเสีย “น้องมาเรียม” และ “ยามีล” ทำให้สังคมตระหนักถึงความเร่งด่วนของวิกฤติ จนนำไปสู่การประกาศให้วันที่ 17 สิงหาคมเป็น วันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจและพันธะสัญญาร่วมกันของรัฐ ภาคเอกชน ชุมชนชายฝั่ง และประชาชน ในการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล ควบคุมกิจกรรมที่กระทบต่อพะยูน และพัฒนาระบบติดตามวิจัยอย่างต่อเนื่อง

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ในฐานะองค์กรวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปี ขอย้ำว่าการรักษาพะยูนไม่ใช่เพียงการปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ แต่คือการคุ้มครองระบบนิเวศชายฝั่งที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เราจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเชิงนโยบายและการดำเนินงานระดับพื้นที่อย่างบูรณาการ ทั้งการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล ควบคุมกิจกรรมที่ทำลายถิ่นอาศัย บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และสนับสนุนงานวิจัยติดตามระยะยาว ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐ-เอกชน-ภาควิชาการ-ชุมชน ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทะเลไทยยังคงเป็นบ้านที่ปลอดภัยของพะยูน และยังคงความหลากหลายทางชีวภาพไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้พึ่งพิงอย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูล:  กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.), SPRINGNEW, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI), IUCN Marine Mammal Specialist Group, Dugong & Seagrass Conservation Project, Great Barrier Reef Marine Park Authority (Australia), CITES, IUCN Red List และ UNEP/CMS Dugong MoU