Biz news

บริษัทบี.กริมผนึกสยามพิวรรธน์เดินหน้า ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปสยามพารากอน



กรุงเทพฯ-บี.กริมกลุ่มบริษัทที่ดำเนินกิจการในหลายประเทศทั่วโลกเป็นผู้นำด้านพลังงาน โซลูชั่นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และธุรกิจสุขภาพดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า147 ปี ร่วมลงนามความร่วมมือ (MOU) กับกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาและบริหารโครงการค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกในกรุงเทพมหานคร อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม เพื่อขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในหลายมิติอาทิการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ด้วยการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาสยามพารากอนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานความร่วมมือในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity)การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาสุขภาวะของผู้คนผ่านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการส่งเสริมด้านศิลปวัฒนธรรม

ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ประธาน  บี.กริม กล่าวว่า“ตลอดเวลากว่าศตวรรษ บี.กริมยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาด้านสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด รวมถึงโซลูชันการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพบี.กริมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของสยามพิวรรธน์ โดยร่วมพัฒนาโซลูชันประหยัดพลังงานให้ครอบคลุมทุกโครงการซึ่งสยามพิวรรธน์มุ่งสร้างสรรค์ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่มอบประสบการณ์และความสุขให้แก่ผู้มาเยือนจากทั่วโลก”

ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับปรัชญาบี.กริมในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาธุรกิจรวมถึงคิดค้นนวัตกรรมแห่งอนาคตและตอบสนองความต้องการของสังคมในยุคดิจิทัล ความร่วมมือดังกล่าวนี้ครอบคลุมการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity) และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาโครงการที่มีบูรณาการแนวคิด“ความสุขมวลรวมประชาชาติ”(Gross National Happiness - GNH)จากประเทศภูฏาน การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและการส่งเสริมการเรียนรู้ดนตรีคลาสสิกผ่านวงรอยัลแบงค์คอกซิมโฟนีออร์เคสตร้า (Royal Bangkok Symphony Orchestra) วงดนตรีชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  สอดรับกับวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจของสยามพิวรรธน์ที่มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์แก่สังคมวงกว้าง และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวว่า“ความร่วมมือกับ บี.กริม ครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการผนึกกำลังของสององค์กรชั้นนำ เพื่อสร้างมาตรฐานต้นแบบของโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางแห่งความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ผ่านการบูรณาการนวัตกรรมและการจัดการพลังงานสะอาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนและมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2050โดยได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในศูนย์การค้าความร่วมมือนี้จึงสะท้อนวิสัยทัศน์ร่วมของบี.กริมและสยามพิวรรธน์ ในฐานะผู้นำด้านพลังงานและศูนย์การค้าระดับโลก ที่มุ่งในการกำหนดมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืนของธุรกิจไทยสู่เวทีสากล พร้อมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยESG อย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ สยามพารากอน ได้ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยภายใต้ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาของอาคารสยามพารากอน ซึ่งมีพื้นที่กว่า 4,600 ตารางเมตร และมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น793 กิโลวัตต์พีค (kWp) ซึ่งคาดว่าจะเทียบเท่ากับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงสุดประมาณ 532 ตันต่อปี การติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปจะครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ Paragon Hall ศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการระดับโลก และส่วนหนึ่งของพื้นที่โซนใหม่ในศูนย์การค้าสยามพารากอนที่จะเป็นแลนด์มาร์กสำคัญและต้นแบบแพลตฟอร์มด้านความยั่งยืนใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี2568

โครงการนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ไอคอนสยาม ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด และมุ่งพัฒนาศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ให้ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2030

สยามพิวรรธน์ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ มาโดยตลอดนับตั้งแต่สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม ไอซีเอส และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพไม่ได้มุ่งหมายให้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางระดับโลกเท่านั้น แต่ทุกโครงการต้องเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งยังคงเดินหน้าสร้างผลกระทบเชิงบวก(Positive Impact)ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าอย่างต่อเนื่องภายใต้กลยุทธ์‘การสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย’(Creating Shared Value)ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจ