Biz news
เศรษฐกิจใหม่ไทยที่SME-สตาร์ทอัพไทย บนเส้นทางลงทุนสู่SDGs ที่ผปก.ต้องรู้

กรุงเทพฯ-โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ รายงาน World Investment Report 2025 ของ UNCTAD ชี้ชัดว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกลดลงต่อเนื่องถึง 11% ในปี 2024 สะท้อนถึงแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ กติกาการค้าใหม่ และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ในฉากทัศน์เศรษฐกิจของประเทศไทย ผู้เล่นที่เป็นฟันเฟืองสำคัญกลับไม่ใช่เพียงบรรษัทข้ามชาติ หากแต่คือผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน กลุ่มธุรกิจนี้ได้ส่งเสียงสะท้อนอย่างชัดเจนว่าตนเองไม่ใช่แค่ผู้เล่นตัวเล็ก แต่คือพลังสำคัญที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจไทยและในภูมิภาค เวที Little Giants ภายในงาน Southeast Asia Trade and Development Forum 2025 จึงเป็นเวทีที่ SMEs และสตาร์ทอัพจากหลายประเทศในภูมิภาคได้ส่งเสียงของตนเอง ถูกนำมาแลกเปลี่ยนอย่างเข้มข้น พร้อมบทเรียนและข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมศักยภาพ ยักษ์เล็ก ให้ก้าวสู่การเป็นผู้เปลี่ยนเกม บนเวทีโลก โจทย์ใหญ่คือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ ไทยจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกได้อย่างไร
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ประธานกรรมการ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่เชื่อมโยงกัน ทั้งการเร่งตัวของเทคโนโลยี ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสิ่งแวดล้อม มาตรการกีดกันทางการค้า และโครงสร้างประชากร ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลก สำหรับอาเซียน ความท้าทายดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นที่เราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ลดความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน และเร่งสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน และทำให้ภูมิภาคของเราสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน”
ด้านนายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา กล่าวว่า“โลกธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า มาตรการสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด การแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน หรือความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ทอัพที่ต้องแข่งขันในห่วงโซ่มูลค่าโลก การจัดฟอรัมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่เชิงนโยบายที่สามารถสังเคราะห์ข้อเสนอไปสู่ภาครัฐ เพื่อให้ประเทศไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ ITD นับตั้งแต่ก่อตั้ง”
ความยืดหยุ่นและอุดมการณ์คือจุดแข็งของ SMEs
สิ่งที่ทำให้ SMEs และสตาร์ทอัพแตกต่างจากองค์กรใหญ่คือ ความยืดหยุ่น และความคิดสร้างสรรค์ หลายธุรกิจเกิดจากความเชื่อมั่นในอุดมการณ์และความพยายามสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้ตลาด สังคม และผู้มีส่วนได้เสีย ข้อได้เปรียบเช่นนี้ช่วยให้ SMEs และสตาร์ทอัพสามารถ ปรับเปลี่ยนทิศทางและกลยุทธ์ธุรกิจได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นาย Doni Teguh Pribadi CEO และผู้ก่อตั้ง PT Bigdonte Kreatif Media บริษัทสื่อบันเทิงสร้างสรรค์ จากประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า “ผู้ประกอบการต้องรักษาอุดมการณ์ของตนเอง ต้องวางตำแหน่งธุรกิจให้ถูกต้อง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง อีกทั้งต้องเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและการร่วมมือเพื่อขยายสู่สากล” บริษัทได้ใช้แนวคิด Human + AI โดยการใช้ AI เพื่อเป็นเครื่องมือเสริมพลัง ไม่ใช่แทนความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ บริษัทมีความเชื่อว่า AI ทำให้ไอเดียขยายใหญ่ได้ แต่ไม่สามารถทดแทนความเป็นต้นฉบับ ความรู้สึก และถ่ายทอดจิตวิญญาณด้านศิลปะที่ลึกซึ้งได้เทียบเท่ามนุษย์
ดร. Soe Hein ผู้ก่อตั้ง และ เพรสิเดนซ์ IMU University EdTech จากประเทศเมียนมา กล่าวว่า“สิ่งแรกที่เราต้องมีคือการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรม หากขาดความรู้เรื่องวัฒนธรรม ก็ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้”
โดย IMU University ได้ปรับตัวจากมหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิม สู่แพลตฟอร์มการศึกษารูปแบบออนไลน์ และปรับตัวอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตโควิด -19 ด้วยการสร้างเครือข่ายของตนเอง และสร้างมาตรฐานที่สูงเทียบเท่าการศึกษาในยุโรป ที่เน้นการสอนในเชิงปฏิบัติและวัดผลได้จริง พร้อมวางแผนใช้เทคโนโลยี AI เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
เงินทุน เทคโนโลยี และเครือข่าย คือข้อจำกัด
นาย Toni Trinh ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO บริษัท AseanHub จากเวียดนาม ธุรกิจแพลตฟอร์มรูปแบบไฮบริดที่เชื่อม SMEs ของเวียดนามและอาเซียนสู่ตลาดโลก จากประเทศเวียดนาม กล่าวว่าถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจว่า “ผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันต้องเตรียมตัวให้พร้อมอัปเดทเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น AI, automation, blockchain หรือ fintech หากไม่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ เราจะไม่สามารถแข่งขันได้
ทั้งนี้ AseanHub ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาของ SMEs ที่ขาดความรู้ด้านมาตรฐานเทคนิค ขาดพันธมิตร และข้อมูลตลาด ผ่านกลยุทธ์การสร้าง Cross-border Hub ที่เป็นมิตรต่อ SMEs ผสมผสานแพลตฟอร์มดิจิทัล (Market intelligence, Customer engagement) กับพันธมิตรท้องถิ่น ใช้โมเดลแบ่งรายได้ และโปรโมตสินค้าแบบ Green Product และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น เครื่องสำอางออร์แกนิก อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่า การเข้าถึงทุน เทคโนโลยี และเครือข่ายยังคงเป็นอุปสรรค หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพก็อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ด้าน คุณมนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ กล่าวว่า “พันธกิจของเราชัดเจนมาตั้งแต่วันแรก คือ การเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราไม่ได้ใช้สูตรสำเร็จเดียวกันกับทุกประเทศ แต่จะปรับบริการให้เข้ากับบริบทและความต้องการของผู้ใช้ในแต่ละตลาดอย่างแท้จริง สิ่งที่เรามุ่งเน้นมาตลอดคือการแก้ Pain Point ของผู้ใช้ เช่น การพัฒนา Virtual MasterCard สำหรับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิตเพื่อให้สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้ การออกแบบบัญชีออมเงินที่ใช้ง่าย ตลอดจนการนำข้อมูลและ AI มาช่วยวิเคราะห์เครดิตและต่อยอดนวัตกรรมใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อบริการทางการเงินเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างแท้จริง”
จากจุดเริ่มต้นด้วยบริการจ่ายเงินผ่านมือถือ วันนี้ Ascend Money ได้พัฒนาสู่บริการหลากหลาย ทั้งe-wallet, micro-credit, micro-investment และ micro-saving ที่เข้าถึงผู้คนใน 6 ประเทศอาเซียน
อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดสำคัญยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังของเหล่าผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเงินทุน แพลตฟอร์มเทคโนโลยี หรือเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้การเติบโตแบบก้าวกระโดดจึงไม่ง่ายหากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนที่เพียงพอ ซึ่งคำเตือนนี้สะท้อนว่า หาก SMEs และสตาร์ทอัพไทยไม่เร่งปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวคือโอกาส
นางสาวธมนวรรณ วิโรจน์ชัยยันต์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท Moreloop แพลตฟอร์มออนไลน์หมุนเวียนเศษผ้าจาก กล่าวว่า “เรามีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นจริง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน”
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการรีแบรนด์ “เศษผ้า” ให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ Moreloop ได้เปลี่ยนมุมมองจาก การจัดการขยะ สู่ การจัดการทรัพยากร โดยแสดงให้เห็นว่าวัสดุส่วนเกินสามารถนำกลับมาใช้ใหม่และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน พร้อมทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” เหมือน Airbnb ของวงการผ้า ปัจจุบัน Moreloop สามารถขยายเครือข่ายจาก 5 โรงงานสู่กว่า 100 โรงงานที่ร่วมจัดหาผ้ามากกว่าหลายล้านหลาในชื่อ “Lonely Fabric” ขณะที่กลยุทธ์ทางการตลาดก็ได้แรงสนับสนุนจากการใช้แนวคิด Circular Economy ตั้งแต่แรกเริ่ม โมเดลธุรกิจจึงสอดคล้องทั้งผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อมและความสำเร็จเชิงการเงินอย่างเป็นธรรมชาติ
SDGs จากวิกฤติสู่โอกาสเชิงกลยุทธ์
นอกจากนี้รายงานยังชี้ว่า แม้ FDI โลกหดตัว แต่เศรษฐกิจดิจิทัลกลับเติบโตสวนกระแส มูลค่าโครงการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า บริษัทข้ามชาติ 100 อันดับแรกมีรายได้กว่า 20% จากธุรกิจเทคโนโลยี สำหรับประเทศไทย หากพัฒนากำลังคน กฎเกณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ก็สามารถวางตัวเองให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลและ Green Economy ของภูมิภาคได้ เพราะการลงทุนเพื่อบรรลุ SDGs ในประเทศกำลังพัฒนาลดลง 25–30% ยกเว้นสาธารณสุขที่ยังเติบโต แม้เป็นวิกฤติ แต่ก็เปิดโอกาสใหม่ หากไทยออกแบบนโยบายดึงดูดการลงทุนในพลังงานสะอาด น้ำ และเกษตรที่ยั่งยืน จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนระยะยาว
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงข้อคิดจากผู้ประกอบการที่สะท้อนว่าความสำเร็จของ SMEs และสตาร์ทอัพไม่ได้อยู่ที่การมีเทคโนโลยีล้ำหน้าเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ ความเข้าใจในคน สังคม และตลาดปลายทาง เพราะการขยายตลาดข้ามพรมแดนไม่ใช่เรื่องของสินค้า แต่คือเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว และยังชี้ชัดว่า SMEs และสตาร์ทอัพไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นชายขอบอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ หากประเทศไทยสามารถเสริมสร้างความพร้อม สนับสนุนด้วยนโยบายที่ต่อเนื่อง และคว้าโอกาสจากเศรษฐกิจดิจิทัลและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้อย่างทันท่วงที “ยักษ์เล็ก” ของไทยก็จะสามารถยืนหยัด เติบโต และแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างมั่นใจ