Biz news
การลงทุนรูปแบบใหม่ไม่กำหนดกรอบ แนวคิดactiveหรือpassiveอีกต่อไป

เมื่อนักลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงของการกระจุกตัวของตลาด จึงเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนผลตอบแทนการลงทุนรวมถึงให้ความสนใจในสินทรัพย์นอกตลาดมากขึ้นเรื่อยๆเพราะถึงจุดนี้ทุกคนเริ่มเข้าใจแล้วว่าการลงทุนเชิงรุก(active)มีอะไรมากกว่าเพียงแค่การคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุนเท่านั้น
ปัจจุบันเราแทบไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงรุก (active)เท่าไรทั้งที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เรามักถกเถียงกันถึงประเด็น“การลงทุนเชิงรุก (active) หรือ เชิงรับ (passive) แบบไหนดีกว่ากัน?”หรือเป็นเพราะกลยุทธ์การบริหารการลงทุนเชิงรุกโดยเฉพาะกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูงอย่างสหรัฐอเมริกาไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
ยุคนี้การบริหารพอร์ตการลงทุนในมิติใหม่ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างแนวทาง“การลงทุนเชิงรุกและเชิงรับ”จนแทบแยกไม่ออกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการออกกองทุนเชิงรับใหม่ๆ มากมายเป็นประวัติการณ์ แต่รูปแบบการบริหารจัดการไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิ่งตามดัชนีตลาดขนาดใหญ่แบบกว้างๆ หากเลือกวิ่งไปตามทิศทางกระแสหลักทั่วโลกอาทิ เน้นการลงทุนตามธีม สไตล์หรือมุ่งลงทุนไปยังภูมิภาคหรือหมวดธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นดังนั้นแม้ชื่อกองทุนอาจฟังดูเป็นกองทุนเชิงรับแต่การจัดพอร์ตที่นำแนวทางการบริหารดังกล่าวมาเป็น “ส่วนผสม” จึงถือเป็นกระบวนการเชิงรุกอยู่ดี
ปัจจัยอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการทบทวนใหม่ถึงภาพจำของกองทุน เชิงรุก/เชิงรับ ที่มักถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบกันได้แก่ ความผันผวนของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่ผูกติดไปกับดัชนีแบบกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีระดับโลกหรือของสหรัฐฯก็ตามที อาทิเช่น MSCI World Indexที่กว่า 75% เป็นหุ้นของบริษัทสหรัฐฯและมีเพียงหุ้นเทคโนโลยีบริษัทขนาดใหญ่10 ตัวเท่านั้นที่ถือครองสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่ง! นี้คือแนวทางของการบริหารเชิงรับจริงหรือ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารการลงทุนแบบเชิงรับท่ามกลางการกระจุกตัวของตลาดที่กล่าวมาก็เคยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนมากมายเพราะนับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2010 ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกือบ 14% ต่อปี ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและหุ้นสหรัฐฯเติบโตโดดเด่นทำผลกำไรได้ดีเหนือตลาดอื่นๆ ทั่วโลกมากมายไม่มีใครคาดคิดว่าตลาดสหรัฐฯ ที่ยืนหนึ่งมาโดยตลอดจะประสบความปั่นป่วนอย่างรุนแรงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาจากภาวะที่ตลาดเกิดแรงเทขายอันเป็นผลพวงมาจากการประกาศใช้มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ (Liberation Day)การปรับตัวลงของตลาดจากความชะล่าใจในตลาดที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนตระหนักถึงความเปราะบางของกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าว
สิ่งที่พบเห็นในหมู่นักลงทุนช่วงนี้คือการใช้แนวทางที่รอบคอบมากขึ้นและจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนขึ้นจากผลการสำรวจ Global Investor Insight Surveyล่าสุดของชโรเดอร์สที่จัดทำขึ้นระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม พบว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งเป็นนักบริหารการลงทุนระดับมืออาชีพทั่วโลก 995 คนที่มีพอร์ตสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมูลค่ารวมกันกว่า 67 ล้านล้านดอลลาร์ ระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกใช้กลยุทธ์การบริหารจัดการเชิงรุกเพิ่มมากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ช่วงเวลานี้นักลงทุนต้องการสร้างความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตลงทุน โดยมองลู่ทางในการกระจายความเสี่ยง อาทิ เน้นการลงทุนในภูมิภาคที่มีการเติบโตดีลงทุนในหลากหลายประเภทของสินทรัพย์และการลงทุนตามสไตล์หรือธีม นอกจากนี้นักลงทุนจำนวนมากกำลังลดการถือครองดอลลาร์ลงด้วย และนี่คือปฏิกิริยากลับด้านที่น่าจับตามองเนื่องจากในอดีตหากตลาดเกิดความผันผวนไม่แน่นอนเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ในตลาดสหรัฐฯ มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยแต่ขณะนี้การลงทุนกำลังเคลื่อนย้ายฐานไปยังตลาดยุโรป เอเชีย หรือตลาดเกิดใหม่ เป็นหลักแทน
ในโลกยุคที่มีความผันผวนสูงนักลงทุนมองหาสไตล์การลงทุนโดยเฉพาะในยามต้องเผชิญกับ “กับดักของดัชนี (pitfalls of an index)” พวกเขามองหาแนวทางที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้หรือแม้แต่แนวทางที่จะใช้สวนกระแสได้ ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องที่ล้นตลาดและผลตอบแทนที่โดดเด่นของตลาดสหรัฐฯ) ได้ช่วยยกระดับสินทรัพย์ทุกประเภทให้เติบโตพร้อมๆ กัน แต่เมื่อสถานการณ์ความผันผวนเพิ่มมากขึ้นปัจจัยทางเศรษฐกิจจุลภาค (เช่น ความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัทฯ)ได้ขยับขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ แทนดังนั้นกลยุทธ์ที่มองไปข้างหน้าจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งและหนทางแก้คือเน้นการลงทุนแบบเชิงคุณค่า (a value approach) เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงจะช่วยให้เรามีผลตอบแทนคาดการณ์จากส่วนต่างที่เผื่อความปลอดภัยไว้แล้ว (safety margin) หรืออาจเป็นการลงทุนเชิงธีม (thematic) ที่ยึดโยงกับกลุ่มอุตสาหกรรมหรือเทรนด์ตลาด
ทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์และความต้องการการลงทุนนอกตลาด (Private Markets) ที่เพิ่มขึ้นกำลังปรับโฉมภูมิทัศน์การลงทุนใหม่
นอกเหนือจากนโยบายที่เปลี่ยนไปมาของสหรัฐฯเองแล้ว ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างระดับโลกที่จะยังดำรงอยู่อีกนานหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์พ้นตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือวิกฤติภาระหนี้สาธารณะที่พอกพูนทับถมอย่างมหาศาลซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่แน่นอนในตลาดตราสารหนี้ที่แม้ว่าจะให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นแต่จะมีความผันผวนเชิงโครงสร้างที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่มองหากระแสเงินสดตราสารหนี้อาจจะตอบโจทย์แม้อาจไม่ใช่ทั้งหมด และจากผลการสำรวจGlobal Investor Insight Surveyยังมีทางเลือกอื่นที่น่าสนใจได้แก่ ตราสารหนี้นอกตลาด (private debt) และเครดิตทางเลือก (credit alternatives) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มสูงขึ้นโดยขณะนี้ได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดใจที่สุดสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในรูปแบบกระแสเงินสด
และหากคำตอบของการลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดในอนาคตคือการผสมผสานระหว่างตราสารหนี้ในตลาด เช่นพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ (public debt) กับตราสารหนี้นอกตลาด(private debt) เข้าด้วยกันแล้ว จะยิ่งทำให้ข้อถกเถียงที่มีมาเรื่อง ‘การลงทุนเชิงรุก’ กับ ‘การลงทุนเชิงรับ’ หมดความหมายลงไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับกรณีของการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และหุ้นนอกตลาด (Public & Private Equity)
นักลงทุนจะหันกลับมาให้ความสนใจใน‘นวัตกรรมเทคโนโลยีสร้างสรรค์ใหม่ๆ’
เทคโนโลยีการบันทึกและแบ่งปันข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (distributed ledger tech) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลที่มีราคาถูกลง กำลังผลักดันแนวทางการลงทุนไปสู่รูปแบบการลงทุนที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงกับความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบโครงสร้างกองทุนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยจะสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่ปรับให้เข้ากับเป้าหมายและระยะเวลาที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละคนได้ ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญจะมีข้อกำหนดด้านความยั่งยืนที่ฝังอยู่ในโครงสร้างพอร์ตลงทุนได้ด้วย ดังนั้นหลักการทั่วไประหว่างการลงทุนเชิงรุก (Active)และการลงทุนเชิงรับ (Passive)จึงไม่ใช่แกนหลักของการถกเถียงอีกต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการหาคำตอบว่านักลงทุนเผชิญปัญหาอะไร? และจะใช้กลยุทธ์หรือทางเลือกแบบใดในการแก้ปัญหานั้นๆ
คำสุภาษิตที่ว่า “แลเห็นนกนางแอ่นตัวเดียว มิอาจบ่งบอกการมาถึงของฤดูร้อนอันน่ารื่นรมย์ได้”ยังใช้ได้เสมอ เพราะกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Flows)ในอนาคตต่างหากที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้แม้การลงทุนแบบเชิงรับเคยเป็นกระแสหลักของวงการการลงทุนมาตลอด 25 ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่หลายครั้งมันถูกผลักดันโดยแวดวงของธุรกิจการลงทุนเองมากกว่าความสอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน วันนี้เราอาจกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยน (Turning Point)ที่จะนิยามทิศทางใหม่ของการลงทุนในอนาคตที่ไม่ใช่แค่การเลือกกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก(active)หรือการลงทุนเชิงรับ(passive) แต่เป็นการเลือกกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาและเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน
โดย ริชาร์ด โอลด์ฟิลด์ (Richard Oldfield) Group CEO, ชโรเดอร์ส