In Thailand
สมาชิกพัฒนาสัมพันธ์14ร่วมบริษัทนีโอฯ มอบเครื่องอุปโภค-45ทุนการศึกษา
สมุทรสาคร - สมาชิกพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร 2514 ร่วมกับ บริษัท นีโอ เอสเค.จำกัด ร่วมกันเป็นประธานในพิธีมอบเครื่องอุปโภค และบริโภค ตลอดจนทุนการศึกษาจำนวน 45 ทุน ให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดราษฎร์ธรรมาราม
เมื่อเวลา 10.30 น. ของวันที่ 22 กันยายน 2564 พล.ต.ชาญวิทย์ อรรถธีระพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย นายบุรินทร์ สหัสธารากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอ เอสเค. จำกัด ร่วมกันเป็นประธานในพิธีมอบเครื่องอุปโภค และบริโภค ตลอดจนทุนการศึกษาจำนวน 45 ทุน ให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดราษฎร์ธรรมาราม ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ณ อาคารเอนกประสงค์โรงเรียนวัดราษฎร์ธรรมาราม โดยมี พล.ต.หญิง อธิษฐาน การพจน์ ตลอดจน ผู้แทน บจก.ไทย ควอตซ์ สโตน สมาชิกพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร 2514 หน.ชป.กร , อส.กร. คณะครูและผู้ปกครองนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสมาชิกพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร 2514 กับ บริษัท นีโอ เอสเค.จำกัด ในการขับเคลื่อนงานจิตอาสาประชาสังคม เพื่อช่วยเหลือนักเรียนและผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนวัดราษฎร์ธรรมาราม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19
สำหรับสิ่งของที่นำมาจัดมอบให้ประกอบไปด้วย เครื่องอุปโภค - บริโภค อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมกล่อง และไข่ไก่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนของโรงเรียนที่มีอยู่ทั้งหมด 45 คนอีกด้วย สำหรับโรงเรียนวัดราษฎร์ธรรมารามนั้น ถือเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีบุคลากรทางการศึกษาอยู่เพียงแค่ 8 คนเท่านั้น ในอดีตเคยจะถูกยุบรวมกับโรงเรียนขนาดใหญ่มาแล้ว แต่ด้วยความสำคัญของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชนภายนอก ประกอบผู้ปกครองของนักเรียนส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง หรือทำประมงชายฝั่ง มีรายได้เพียงพอแค่เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หากต้องส่งบุตรหลานไปเรียนไกลบ้าน ก็จะเป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงยังคงเปิดทำการสอนต่อไป เนื่องจากมีความสำคัญต่อคนในชุมชนแถบชายทะเลนาโคกนั่นเอง โดยทุกวันนี้ทางโรงเรียนได้ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องของการอยู่อย่างพอเพียง และพึ่งพาตนเอง ด้วยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ อาชีพเลี้ยงปลากะพง มาสอนให้กับนักเรียนได้รู้จักการเพาะเลี้ยงปลากะพงไว้เป็นอาหาร รวมถึงการปลูกพืชผักสวนครัวในรั้วโรงเรียนอีกด้วยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งจากชาวบ้านผู้ใช้รถใช้ถนนสัญจรไปมาบริเวณถนนสาย 210 หนองบัวลำภู ไปอำเภอนากลางว่า กรมทางหลวงได้ก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนักรถซึ่งแทนที่จะไปสร้างฝั่งขวามือที่มีรถบรรทุกหนักวิ่งผ่านแต่กลับมาสร้างอยู่ฝั่งซ้ายมือ ซึ่งแทบจะไม่มีรถบรรทุกหนักวิ่งผ่านเลย ถูกตั้งข้อสังเกตุจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่บริเวณบ้านโนนสมบูรณ์ ตำบลนาคำไฮ อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างกำลังมีการก่อสร้างติดกับมูลนิธิกรุณา บริเวณดังกล่าวได้มีป้ายของกรมทางหลวงสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะแจ้งว่า จะมีการก่อสร้างสถานีตรวจสอบน้ำหนักหนองบัวลำภู ทางหลวงหมายเลข 210 ตอนหนองบัวลำภู ถึงนาคำไฮ จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งมีผู้รับจ้างคือห้างหุ้นส่วนจำกัด บรบือพรเทพ เริ่มสัญญาวันที่ 30 มกราคม 2564 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 24 มกราคม 2565 ระยะเวลาก่อสร้าง 360 วัน งบประมาณการก่อสร้าง 34,847,000 บาท (สามสิบสี่ล้านแปดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ซึ่งจุดก่อสร้างถ้าเดินทางมาอยู่ห่างจากตัวจังหวัดหนองบัวลำภู 10 กิโลเมตร ซึ่งมีการก่อสร้างอยู่ฝั่งซ้ายมือ โดยจะมุ่งหน้าไปอำเภอนากลางและอำเภอนาวัง และรอยต่อเขตจังหวัดเลยจะมีโรงโม่หินอยู่หลายโรง และรถบรรทุกพ่วงส่วนใหญ่จะไปซื้อหินและวิ่งกลับมาจากฝั่งด้านขวา ผ่านเข้าจังหวัดหนองบัวลำภู ตรงข้ามกับด่านตราชั่ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วด้านซ้าย ฝั่งที่มีการก่อสร้างด่านตาชั่ง จะเป็นรถบรรทุกเปล่าๆที่ไม่ได้บรรทุกอะไรวิ่งผ่านมากกว่า และในภาพที่ปรากฏถนนฝั่งด้านขวาโดยเฉพาะในเขตอำเภอนากลาง ถนนได้พังเสียหายเป็นหลุมเป็นบ่อ และบางจุดได้มีลาดยางที่มีรอยกดทับและโผล่ขึ้นมาเป็นคลื่นๆ ทำให้รถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ที่สัญจรไปมาได้เกิดอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งการก่อสร้างดังกล่าวเกรงว่าจะมีการนำภาษีของพี่น้องประชาชน ไปใช้ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณการก่อสร้าง
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบ นายสะอาด ประจันพล ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงหนองบัวลำภู ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ทางแขวงได้งบประมาณในการก่อสร้างตาชั่งตรวจน้ำหนักแบบถาวร ฝั่งซ้ายมือบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 51 ถึง 52 สาเหตุที่ทางแขวงฯ ต้องก่อสร้างบริเวณด้านซ้ายเพราะว่า เรามีพื้นที่สงวน และรองรับรถที่จะมาจอดรอเข้าชั่งน้ำหนักจะต้องใช้พื้นที่กว้างพอสมควร ซึ่งทางกรมทางหลวงได้จัดสรรงบประมาณมาให้เป็นเฟสแรก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีพื้นที่การก่อสร้างบ้านพักของเจ้าหน้าที่ และพนักงานที่มาดูแลที่ด่าน เพราะหลังจากที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว เราก็จะมีเจ้าหน้าที่ ที่สามารถมาตั้งด่านดักรถน้ำหนักเกินได้ ส่วนฝั่งขวาก็จะได้ของบมาเพื่อจะสร้างด่านถาวรต่อไป ในส่วนที่มีพี่น้องประชาชนมีความกังวลว่า ทำไมไม่มาก่อสร้างด้านฝั่งขวามือ เพราะมีรถบรรทุกหนักวิ่งผ่านวันนึ่งเป็นจำนวนมาก ตนเองขอชี้แจงว่าหลังจากที่การก่อสร้างด่านชั่งน้ำหนักเสร็จแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่นำตาชั่งลอยข้ามฝั่งมาฝั่งขวา และจะมีการตรวจน้ำหนักเช่นกัน และถ้าเกิดกรมทางหลวงได้จัดสรรงบประมาณมาให้ก่อสร้างเฟสที่ 2 คงจะหาพื้นที่ในการก่อสร้างด้านฝั่งขวามือต่อไป
นายวรรธนะ ทองดี / หนองบัวลำภู