Biz news
'PwC ไทย'ชี้ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบ ต่อรายงานทางการเงินในอนาคต
กรุงเทพ-PwC ประเทศไทย ชี้ภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อรายงานทางการเงินในอนาคตหลังประชาคมโลกออกกฎเกณฑ์ เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่นการซื้อคาร์บอนเครดิตที่อาจส่งผลต่อการด้อยค่าสินทรัพย์ หรือเครื่องมือทางการเงินสีเขียวที่อาจส่งผลต่อการลงบัญชีแนะผู้ประกอบการทำความเข้าใจ และประเมินความเสี่ยงของการกำหนดเป้าหมายรักษ์โลกที่มีต่อรายงานทางการเงินขององค์กรเพื่อสามารถวางแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม
นางสาว สินสิริ ทังสมบัติ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่าปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อเดินหน้าไปสู่การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสานต่อพันธกิจของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26)ที่ประชาคมโลกได้มีการทำความตกลงเรื่องเป้าหมายและมาตรการต่าง ๆ ในการพยายามควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน1.5 องศาเซลเซียส โดยปัญหานี้ นอกจากจะส่งผลกระทบทางกายภาพ การออกกฎระเบียบต่าง ๆ และพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วยังจะส่งผลกระทบกับงบการเงินในอนาคต
“ภาวะโลกร้อนนอกจากจะส่งผลกระทบทางกายภาพ การออกกฎระเบียบต่าง ๆ และพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วยังจะส่งผลกระทบกับงบการเงินด้วยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศได้มีการเผยแพร่เอกสารทางการศึกษาซึ่งพูดถึงประเด็นทางบัญชีต่าง ๆ เช่น พันธกิจในการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์หรือการซื้อคาร์บอนเครดิตที่อาจส่งผลต่อการด้อยค่าสินทรัพย์ และการออกเครื่องมือทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมเป็นต้น ประเด็นเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งที่บริษัทจะต้องทำการศึกษาถึงรายละเอียดและผลกระทบที่อาจมีต่องบการเงินก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใด ๆ” นางสาว สินสิริ กล่าวภาวะโลกร้อน กับการด้อยค่าของสินทรัพย์
นางสาว สินสิริ กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนอาจส่งผลให้เกิดข้อบ่งชี้ของการด้อยค่าของสินทรัพย์ในบางธุรกิจโดยทำให้กิจการจะต้องทำการทดสอบการด้อยค่า เช่นรัฐบาลในบางประเทศอาจมีการกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ซึ่งหากมีการปล่อยก๊าซพิษเกินกำหนดจะต้องมีการซื้อคาร์บอนเครดิตจากตลาด ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น หรือกรณีพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้ความต้องการในสินค้าบางประเภทลดลง เช่น แนวโน้มของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถที่ใช้น้ำมัน ดังนั้น กิจการต้องประเมินว่าเครื่องจักรต่าง ๆ จะสามารถก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่ครอบคลุมมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์หรือไม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่บางบริษัทอาจมีการสื่อสารต่อสาธารณชนถึงการดำเนินธุรกิจที่แสดงรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยมิได้มีกฎหมายใด ๆ มาบังคับ เช่น สื่อสารว่าจะหันมาใช้เครื่องจักรที่ใช้พลังงานสะอาด ทดแทนเครื่องจักรเก่าภายในอีก 3ปีข้างหน้า ซึ่งการสื่อสารในลักษณะนี้ อาจสร้างความคาดหวังต่อสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นในการทำประมาณการกระแสเงินสดจากการใช้เครื่องจักรจากเดิมตามอายุการใช้งานปกติอาจทำให้สั้นลงซึ่งกรณีนี้อาจส่งผลต่อการด้อยค่าได้ศึกษาและทำความเข้าใจเครื่องมือทางการเงินสีเขียว
นางสาว สินสิริ กล่าวต่อว่ากิจการจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินที่มีการกำหนดเงื่อนไขเชื่อมโยงกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย โดยปัจจุบัน มีเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เช่น ตราสารหนี้สีเขียว และสินเชื่อสีเขียว(Green
Loan) ที่อ้างอิงจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกิจการ ทำให้อัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ซึ่งในกรณีดังกล่าวกิจการจะต้องเข้าใจถึงเหตุผลของการเชื่อมโยงของอัตราดอกเบี้ยกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเป็นเพราะเหตุใด
“หากกิจการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายที่ควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะต้องปฏิบัติตามและหากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ก็อาจส่งผลให้กิจการถึงขั้นต้องปิดโรงงาน ซึ่งถ้าผลเป็นเช่นนี้ เราอาจตีความได้ว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความเสี่ยงของกิจการ หรือ Credit Risk ดังนั้นกิจการจะต้องบันทึกดอกเบี้ยตามวิธีอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงและเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตามช่วงเวลาที่กิจการมีความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไป” นางสาว สินสิริ กล่าว
“ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับกิจการโดยตรงผู้บริหารจะต้องประเมินเรื่องของอนุพันธ์แฝงที่อยู่ในสัญญาเงินกู้ ซึ่งจะต้องแยกอนุพันธ์ดังกล่าวออกมาหรือรวมในตราสารเงินกู้แล้ววัดด้วยมูลค่ายุติธรรม ซึ่งวิธีการบัญชีจะต้องใช้การวิเคราะห์เนื้อหาของสัญญาเพื่อดูว่าจะต้องลงบัญชีเช่นไร และจะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ค่อนข้างมีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ” เธอ กล่าว
นอกจากนั้น เรื่องของการประมาณการหนี้สินในกรณีที่กิจการมีภาระในการเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่แทนเครื่องจักรเก่าเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมกิจการจะต้องประเมินถึงผลกระทบกับระยะเวลาในการรื้อถอนและตัวเลขหนี้สินจากประมาณการรื้อถอนในงบการเงิน สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมด้วย เช่น มูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินค้าคงเหลือลดลงหรือไม่จากการที่ต้นทุนผลิตสูงขึ้น หรือการลดลงของราคาสินค้าเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปทำให้ความต้องการของสินค้าลดลง และภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจะได้ใช้หรือไม่หากกำไรในอนาคตมีแนวโน้มลดลงจากผลกระทบของภาวะโลกร้อน เป็นต้นความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล
นอกจากผลทางด้านตัวเลขแล้ว นางสาว สินสิริ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเนื่องจากรายการทางบัญชีหลายรายการ อาศัยการประมาณการข้อสมมติฐานต่าง ๆ ดังนั้นกิจการควรเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจถึงที่มาของตัวเลข ความอ่อนไหวของข้อมูล ข้อสมมติฐานที่เปลี่ยนแปลงไปรวมถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่กิจการกำลังเผชิญอยู่ และการบริหารความเสี่ยงของกิจการด้วยสิ่งที่มีความสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการใช้ข้อมูลที่สอดคล้องกันระหว่างฝ่ายบัญชีการเงินและฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าการจัดทำประมาณการต่าง ๆ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“ผู้ประกอบการควรต้องประเมินว่า ธุรกิจที่ตนดำเนินการอยู่ มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมใดที่อาจจะกระทบกับตัวเลขในงบหรือไม่และมากหรือน้อยเพียงใด เพื่อรับทราบถึงผลกระทบและจัดทำรายงานทางการเงินให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม”นางสาว สินสิริ กล่าว
“ในระยะถัดไป ภาวะโลกร้อนจะยิ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับทุก ๆองค์กรและหน่วยงานธุรกิจที่ต้องหันมากำหนดเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษ์โลก และต้องสร้างผลกำไรอย่างมีสำนึกรับผิดชอบบนพื้นฐานของการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เธอ กล่าวทิ้งท้าย