Biz news

'เน็กซ์เจน'เผยสร้างการเติบโต-ใช้ดิจิทัล ขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวภารกิจหลังโควิด



กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2565 – PwC เผยรายงานผลสำรวจผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ไทยพบเกือบสองในสามมองการขับเคลื่อนธุรกิจให้กลับมาเติบโตเป็นภารกิจสำคัญสูงสุด ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้-พัฒนาความสามารถด้านดิจิทัลให้กับพนักงาน เป็นเรื่องเร่งด่วนไม่แพ้กัน พร้อมชี้วิกฤตโควิด-19มีส่วนทำให้แผนการสืบทอดตำแหน่งต้องชะลอหรือเลื่อนออกไปแต่กระตุ้นให้ผู้นำรุ่นใหม่และรุ่นปัจจุบันสื่อสารและร่วมมือกันมากกว่าที่เคย

นาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทยเปิดเผยถึง รายงานผลสำรวจผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ ประจำปี 2565 ฉบับประเทศไทย ครั้งที่ 2ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานผลสำรวจ Global NextGen Survey 2022 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 1,036 รายจาก68 ประเทศและอาณาเขต รวมถึงประเทศไทย จำนวน 40 รายว่า การบรรลุการเติบโตของธุรกิจเป็นภารกิจเร่งด่วนสำหรับผู้นำรุ่นใหม่ (เน็กซ์เจน) ไทยหลังจากนี้ไป โดย 63%จัดให้การเติบโตของธุรกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นภารกิจสำคัญอันดับแรกที่ให้ความสนใจตามมาด้วยการขยายธุรกิจไปสู่ภาคส่วนหรือตลาดใหม่ (50%) เป็นภารกิจสำคัญอันดับที่สอง

“สถานการณ์โลกในปัจจุบัน ทำให้การประคับประคองธุรกิจครอบครัวให้อยู่รอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเรื่องที่ท้าทายมากผลจากการสำรวจของเราพบว่า วันนี้ผู้นำเน็กซ์เจนรุ่นใหม่ไม่ได้มองเรื่องความอยู่รอดเพียงอย่างเดียวแต่ยังต้องการขับเคลื่อนกิจการด้วยพลังความคิด ความสามารถด้านดิจิทัล และทักษะใหม่ ๆ ที่พวกเขามีโดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติทางการเงิน สังคม และสิ่งแวดล้อม” นาย นิพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของพนักงาน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆยังเป็นอีกภารกิจเร่งด่วนที่ผู้นำเน็กซ์เจนไทยจะเร่งดำเนินการทันทีเพื่อยกระดับความสามารถขององค์กรและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง โดยผลสำรวจของ PwC ระบุชัดเจนว่า 35%ของผู้นำรุ่นใหม่ไทย มีความมั่นใจในความสามารถด้านดิจิทัลของตน ซึ่งสูงกว่าผู้นำรุ่นปัจจุบันที่ 28% ขณะที่ 33% เชื่อว่าผู้นำรุ่นปัจจุบันยังคงไม่เข้าใจโอกาสและความเสี่ยงทางดิจิทัลที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจครอบครัวโควิด-19 กระตุ้นความร่วมมือของผู้นำทุกรุ่นเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

นาย นิพันธ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดความร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างผู้นำรุ่นใหม่และผู้นำรุ่นปัจจุบันเพื่อแก้ไขปัญหาและรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ โดยเกือบครึ่งของผู้นำเน็กซ์เจนไทย (45%) กล่าวว่าพวกเขารู้สึกมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจมากขึ้นกว่าตอนก่อนเกิดการระบาด และปัจจุบันได้มีส่วนร่วมในกิจการของครอบครัวมากขึ้นขณะที่การสื่อสารระหว่างสมาชิกภายในครอบครัวเกี่ยวกับตัวธุรกิจก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี การวางมือจากธุรกิจของผู้นำรุ่นปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก โดย 57% ของผู้ถูกสำรวจกล่าวว่าผู้นำรุ่นปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะเกษียณในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ขณะที่ 18% ของผู้นำเน็กซ์เจนไทยกล่าวว่า โควิด-19เป็นสาเหตุที่ทำให้แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession planning) ของพวกเขา ต้องชะลอหรือเลื่อนออกไปซึ่งสูงกว่าผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลกที่ 12%

“แม้ธุรกิจครอบครัวของไทยหลายราย จะมีแผนการสืบทอดตำแหน่งและให้ผู้นำรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาแผนแต่คงต้องยอมรับว่า ผู้นำรุ่นปัจจุบันอาจจะยังลังเล และไม่อยากที่จะส่งมอบกิจการให้ผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารแทนในภาวะแบบนี้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า succession จะไม่เกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่ผู้นำเน็กซ์เจนทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ คือแสดงให้ผู้นำรุ่นปัจจุบันเห็นถึงทักษะและความสามารถของตัวเองที่พร้อมจะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตรวมทั้งโชว์ความเป็นผู้นำเพื่อสร้างความมั่นใจและการยอมรับ” เขา กล่าว

ผู้นำธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ใส่ใจความยั่งยืน
ยิ่งไปกว่านั้น การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นยังกระตุ้นให้การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล(Environmental, Social and Governance: ESG) ได้รับความสนใจจากธุรกิจทั่วโลกอย่างกว้างขวาง รวมถึงธุรกิจครอบครัวด้วยโดยรายงานของ PwC พบว่า เกือบสองในสาม หรือ 68% ของผู้นำรุ่นใหม่ไทยเชื่อว่าธุรกิจของตนต้องแสดงความรับผิดชอบในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งใกล้เคียงกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลกที่71% ขณะที่เกินกว่าครึ่งเชื่อว่า การสร้างความเชื่อมั่นด้านความยั่งยืน คือ หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในอนาคต

“ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เราเห็นผู้นำรุ่นใหม่ หันมาสนใจการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านอีเอสจีโดยไม่โฟกัสเฉพาะการสร้างกำไร และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19ทำให้ความคาดหวังของสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นเปลี่ยนไปมากนี่จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่เน็กซ์เจนจะได้แสดงความสามารถให้ผู้นำรุ่นปัจจุบันเห็นว่าพวกเขาจะช่วยนำพาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปได้อย่างไรภายใต้การดำเนินธุรกิจที่ยึดแนวทางของอีเอสจี” นาย นิพันธ์กล่าว