In Global

จีนให้ความสำคัญกับปฏิรูปด้านการศึกษา ตั้งแต่เปิดประเทศโดยรศ.วิภา อุตมฉันท์



เติ้งเสี่ยวผิงเคยกล่าวไว้ตั้งแต่ครั้งจีนเปิดประเทศใหม่ ๆ ว่า  การศึกษาสัมพันธ์อย่างแนบแน่นและสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาประเทศของจีนในทุกขั้นตอน 

“เราจะต้องสร้างระบบการศึกษาที่มุ่งหน้าสู่ความทันสมัย  มุ่งหน้าสู่อนาคต  มุ่งไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มของโลก”

แต่ตลอดหลายสิบปีตั้งแต่จีนเปิดประเทศ   กระแสข่าวเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจการเมืองของจีน โดยเฉพาะการผงาดตัวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำอันดับ 2 ของโลก  มีเรื่องราวมากมายที่ชาวโลกให้ความสนใจ   จนอาจกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาและปฏิรูประบบการศึกษาของจีนได้รับการพูดถึงน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่ภายในประเทศจีนระบบการศึกษามีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

ไม่เพียงแต่ประเทศจีน ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ ในโลกต่างก็พูดถึงการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ทันยุคทันสมัยเช่นกัน   แตกต่างกันที่แต่ละประเทศจะการให้ความสำคัญมากหรือน้อย ย่อมขึ้นต่อวิสัยทัศน์และนโยบายของผู้นำ    กล่าวสำหรับประเทศไทย  ประเด็นเรื่องการศึกษาก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดมากชึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด      เด็กนักเรียนระดับมัธยมในประเทศไทยจำนวนมาก   โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มนักเรียนเลว”  ถึงกับลงถนนถือป้ายยื่นข้อเสนอให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงฯรับปากว่าจะปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันสมัย  เพิ่มเนื้อหาวิชาที่ตอบสนองโลกแห่งเทคโนโลยีในอนาคต  เรียกร้องไปจนกระทั่งเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลที่พวกเขาเห็นว่าจุกจิกไร้สาระ  เช่น  การบังคับให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบ  บังคับเรื่องทรงผม  เรียกร้องให้เลิกการทำโทษนักเรียนด้วยการตี  เป็นต้น  ข้อเรียกร้องเหล่านี้อาจดูจุกจิกไร้สาระ  แต่หากผู้ใหญ่เปิดใจกว้างรับฟังก็คงต้องยอมรับว่า  นี่คือเสียงสะท้อนแห่งความคับข้องใจของเด็กรุ่นใหม่ที่มีต่อสิ่งเก่าที่ยังหยุดนิ่งไม่ยอมปรับตัวไปตามยุคสมัย

ย้อนกลับมาดูภายในในประเทศจีนอีกครั้ง   แม้ว่าการปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่เรื่องเด่นเรื่องดังที่เราได้ยินกันหนาหู   แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้นำจีนให้ความสำคัญในระดับต้น ๆ   การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จึงยังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง    จีนจะไม่ยอมให้ระบบการศึกษากลายเป็นอุปสรรคฉุดรั้งการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของตนในยุคเปิดประเทศอย่างเด็ดขาด  ยกตัวอย่าง   ปี 2010  นายหวังติ่งหวา  รองผู้อำนวยการใหญ่กรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน  สังกัดกระทรวงศึกษาของจีนได้รับเชิญไปกล่าวปาฐกถาที่ Asia Society and the Council of Chief State School Officers  คำคมที่เขากล่าวต่อที่ประชุมก็คือ  “จีนมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผันตัวเองจากประเทศที่มีทรัพยากรมนุษย์ “มาก”  ให้กลายเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่ “แข็งแกร่ง”  และจากคำขวัญนี้จึงได้ขยายความต่อไปเป็น “ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาการศึกษา 4 ด้าน”   คือ   ขยายการศึกษาไปให้ถึงเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กระดับการศึกษาภาคบังคับให้ทั่วถึง;    ให้ความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาแก่เด็กทุกคนมากขึ้นอีก;   พัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยสนองตอบต่อความเป็นจริงของโลกยุคใหม่   ไม่ให้นักเรียนท่องจำสูตรที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง  เพิ่มหลักสูตรวิทยาศาสตร์และอวกาศ  ฝึกการคิดคำนวณและการทดลองในห้องปฏิบัติการให้มาก;   มาตรการวัดผลการศึกษาต้องเที่ยงตรงและเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อที่เขาเสนอไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อนำลงสู่การปฎิบัติ   เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีการอพยพและการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของผู้คนสูงที่สุดในโลก  แต่ละปีมีคนจีนอย่างน้อย 300 ล้านคนอพยพจากชนบทเข้าเมืองเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า  กล่าวในแง่ของการปฏิรูปการศึกษาย่อมหมายความว่า  รัฐมีหน้าที่ต้องจัดหาโรงเรียนเพิ่มขึ้นมารองรับครอบครัวใหม่ๆ ในเขตเมืองไม่รู้จักหยุดจักหย่อน    จึงจะสามารถสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาแก่พลเมืองทุกคนได้  แต่หวังติ่งหวาหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเสนอให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นแก่ครู  แล้วให้ครูหมุนเวียนเดินทางไปสอนตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศทุก ๆ 5 ปี  ด้วยวิธีนี้จึงทำให้นักเรียนในชนบทห่างไกลมีโอกาสได้เรียนกับครูเก่ง ๆ มีประสบการณ์ เสมอหน้าเด็กในเมืองใหญ่ที่เจริญแล้ว

ร่างยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาการศึกษา 4 ด้านนี้ เมื่อได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างดีแล้ว จะนำลงสู่การปฏิบัติมีกำหนดเวลา  10 ปี   ในระหว่างนี้ กระทรวงศึกษาจะเปิดรับความเห็นและข้อวิจารณ์ต่าง ๆ จากสังคม  ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นจำนวนนับล้าน  และจะกระจายแผนยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อนี้ไปให้แก่ครูและนักเรียนทั่วประเทศรับรู้  ในที่นี้มีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษากว่า 370,000  แห่ง   ครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาอีกกว่า 200 ล้านคน ฯลฯ