In News

IMDปรับระดับการแข่งขันไทยลง5อันดับ ยันภาคธุรกิจ-โครงสร้างพื้นที่ฐานยังแกร่ง



กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาลเผย แม้ความสามารถในการแข่งขันของไทยปี 2565 จะลดลง สาเหตุจากสถานการณ์ โควิด-19 แต่มีหลายปัจจัยที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness of Countries) โดย International Institute for Management Development (IMD) ประจำปี 2565 ซึ่งประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 33 ซึ่งลดลง 5 อันดับ จากอันดับที่ 28 ในปีก่อนหน้า แต่ยังคงมีปัจจัยบวกในหลายปัจจัยย่อย ซึ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนพบว่า มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีอันดับลดลง 7 อันดับ ซึ่งมากกว่าการลดลงของประเทศไทย

นายอนุชาฯ ยังกล่าวถึงสาเหตุหลักกรณีปัจจัยหลักด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ไทยอยู่อันดับที่ 34 ว่า เป็นผลมาจากการลดลงของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาพึ่งพาการส่งออก-นำเข้าสูง ดังนั้นในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด -19 ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เป็นผลกระทบระยะสั้นจากการไม่สามารถส่งออกสินค้าอันเป็นผลข้อจำกัดในการขนส่งระหว่างประทศ ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติประเทศไทยจะสามารถกลับมาส่งออกได้มากขึ้นตามปกติ ขณะที่ในปัจจัยย่อยด้านระดับราคา (Prices) มีการปรับตัวดีขึ้นถึง 6 อันดับ แม้ว่าระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดด้านค่าใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพยังคงมีแนวโน้มที่ดี เช่น ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยและสำนักงาน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการของภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนและพยุงต้นทุนค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โครงการเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปา เป็นต้น

สำหรับปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 31 นั้น นายอนุชาฯ กล่าวย้ำว่า สาเหตุหลักเป็นผลมาจากปัจจัยย่อยทางด้านฐานะการคลัง (Public finance) ที่มีการใช้จ่ายงบประมาณแบบขาดดุล และหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลมีการกู้เงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รักษาระดับการจ้างงาน และกระตุ้นการลงทุนและบริโภคในระบบเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรอบการบริหารด้านสังคมพบว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาการกระจายรายได้ของกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยที่สุดร้อยละ 40 ของประเทศไทยมีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ตัวชี้วัดดังกล่าวมีอันดับดีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 หรือดีขึ้น 26 อันดับจากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการภาครัฐในการลดค่าครองชีพของกลุ่มคนเปราะบาง และมีมาตรการบรรเทาช่วยเหลือด้านรายจ่ายให้แก่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยในประเทศผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการสาคัญ อาทิ “เราชนะ” และ “คนละครึ่ง”

ส่วนปัจจัยหลักด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ซึ่งปัจจัยย่อยด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) โดยรวมจะมีอันดับลดลง แต่ผลิตภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านได้มีการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาโครงการด้านการพัฒนาผลิตภาพการผลิต อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ในเขตพื้นที่ EECi เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับต้นแบบกระบวนการผลิตที่สามารถถ่ายทอดและนำไปปฏิบัติได้จริง 

ขณะที่ในด้านการบริหารจัดการ มีอันดับคงที่ อยู่ที่อันดับ 22 ซึ่งเกิดจากมีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การสร้างและพัฒนาแนวคิดความเป็นผู้ประกอบการ จากการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น โครงการ Depa Digital Startup Fund ส่งเสริมและสนับสนุนวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การสร้างชุมชนผู้ประกอบการให้สามารถศึกษาเรียนรู้ พัฒนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อธุรกิจสามารถต่อยอดและต่อตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกันยังเป็นผลมาจากการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญในการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในรูปแบบมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น

นอกจากนี้ นายอนุชาฯ ยังกล่าวถึงปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นด้วย ได้แก่ 
(1) ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure) ปรับตัวดีขึ้น จากการพัฒนาการด้านคมนาคมขนส่งรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางรถไฟที่ทั่วถึงตามนโยบายรัฐบาล อาทิ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่ การพัฒนาโครงข่ายรถไฟให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับการขนส่งรูปแบบอื่น รวมถึงรัฐบาลได้ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะถนนมาอย่างต่อเนื่อง 

(2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ดีขึ้น โดยรัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ และครอบคลุมผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และรูปแบบการเรียนการสอน การทำงานเป็นรูปแบบออนไลน์ รวมทั้งการเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น หมอพร้อม และเป๋าตัง เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม 

(3) ปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure) มีอันดับคงที่ อยู่ที่อันดับ 38 โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม สะท้อนจากตัวชี้วัดในกลุ่มการใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนา (Total expenditure on R&D) ที่ปรับตัวดีขึ้น 

(4) ปัจจัยย่อยด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Health and Environment) อยู่ในอันดับที่ 51 โดยตัวชี้ที่สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้รับการจัดอันดับดีขึ้น อาทิ อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด และอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพที่ดีเป็นต้น รวมทั้งการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล สะท้อนจากตัวชี้วัดปัญหามลพิษได้รับการจัดอันดับดีขึ้นด้วย

(5) ปัจจัยย่อยด้านการศึกษา (Education) ปรับตัวดีขึ้น 3 อันดับอยู่ในอันดับที่ 53 เป็นผลจากที่รัฐบาลมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง จากตัวชี้วัดการใช้จ่ายด้านการศึกษาของภาครัฐโดยรวม (Total public expenditure on education) ที่ปรับตัวดีขึ้น 10 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 49 นอกจากนี้ จากนโยบายการบรรจุครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นราชการ ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้อันดับทางด้านสัดส่วนครูต่อนักเรียนปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน