In News

นายกฯถกบอร์ดดิจิทัลเคาะแผนระดับชาติ ดันดิจิทัลหนุนไทยขึ้นท็อป30ของโลก



กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดดิจิทัลฯ เคาะแผนระดับชาติฯ ดันดิจิทัลหนุนไทยขึ้นท็อป 30 ในการจัดอันดับ World Digital Competitiveness Ranking

วันนี้ (9 ธ.ค. 65) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล  นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความสำคัญ โดยเฉพาะการเตรียมกำลังคนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้พร้อมและเพียงพอทันต่อสถานการณ์และการพัฒนาประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งให้สอดรับกับการพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในประเทศไทยเพื่อขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยในส่วนของงบประมาณรายจ่ายในด้านต่าง ๆ ต้องเป็นไปอย่างคุ้มค่า โปร่งใส ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เพื่อจัดเตรียมและพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย (National Health Information Platform) เพื่อบริหารจัดการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้กว่า 600 โรงพบาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีกกว่า 900 แห่ง โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูเรื่องความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล และให้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจนถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกจากนี้ในส่วนของแนวทางและมาตรการในการขยายผลการส่งเสริมการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ให้อยู่ในรูปแบบ Digital Content ในรูปแบบที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปเป็นเครื่องมือถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมให้อยู่ในรูปแบบเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) อย่างสร้างสรรค์ และเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการธำรงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้สามารถคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน และเป็นโอกาสในการนำเสนออัต ลักษณ์ของประเทศซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการสร้าง Soft Power และส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศ นั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่าเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดและมีการบูณการ ขอให้นำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วย Soft Power ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน พิจารณาต่อไปด้วย 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงในส่วนสถานะความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ (Digital Competitiveness) โดย IMD และการศึกษา Thailand Digital Outlook ประจำปี พ.ศ. 2565 นั้น แม้ขณะนี้อันดับของประเทศไทยจะมีการพัฒนามาอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น แต่ก็ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันดำเนินการพัฒนาปรับปรุงด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดียิ่งขึ้นต่อไป และสำหรับเรื่องนโยบายและแผนระดับชาติด้านการพัฒนาดิจิทัลฯ ของประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีเน้นว่าควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปทั้งประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการใช้ดิจิทัลอย่างปลอดภัยและรู้เท่าทัน เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง รวมถึงแนะนำให้มีการประมวลผลเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ โดยทบทวนทุก 2 ปีเพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ได้แก่ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561-2580) ฉบับปรับปรุง โดยมุ่งเน้นการออกแบบกรอบการดําเนินงานตามภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย ในระยะที่ 3 (พ.ศ.2566-2570) เพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตทางเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดและสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของโลก และของประเทศไทยรวมทั้งแนวโน้มทิศทางการพัฒนาในอนาคต

สำหรับภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย ในระยะที่ 3  (Digital Thailand II: Full Transformation) จะเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัลของประเทศไทย ต่อเนื่องจากระยะที่ 1 ที่มุ่งเรื่องการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Foundation) และระยะที่ 2 การทำให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน (Digital Thailand I : Inclusion) โดยตั้งเป้าหมายความสำเร็จของกรอบการดำเนินงานฯ ในระยะที่ 3 ว่า ภายใน 5 ปี จะสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Digital Contribution to GDP) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 พร้อมทั้งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน World Digital Competitiveness Ranking ขึ้นไปอยู่ใน 30 อันดับแรกของโลก หรือ อยู่ใน 3 อันดับแรกของอาเซียน ขณะที่สถานภาพการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy: DL) ของประชาชนคนไทยมีคะแนนมากกว่า 75 คะแนน

ทั้งนี้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561-2580) ฉบับปรับปรุง ยังให้ความสำคัญกับการกําหนดภูมิทัศน์ดิจิทัล ครอบคลุมไปถึงระยะที่ 4 ที่ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำที่มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลในระดับโลก (Global Digital Leadership) โดยภายในปี 2580 จะขยับมูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจดิจิทัล มีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Digital Contribution to GDP) ขี้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน World Digital Competitiveness Ranking อยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก หรืออยู่ใน 2 อันดับแรกของอาเซียน และสถานภาพการเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy: DL) ของประชาชนคนไทยมีคะแนนมากกว่า 85 คะแนน โดยได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานภายใต้ (ร่าง) นโยบายฯ ฉบับปรับปรุงใหม่ โดยมีหลักการนำทาง (Leading Principle) สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) มุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูล (Data Driven Nation) (2) มุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลรอบด้าน (Digital Resilience) และ (3) มุ่งเน้นให้ภาคเอกชนเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อน และภาครัฐสนับสนุน (Private Lead, Government Support)

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลสรุปผลศึกษาโครงการศึกษา Thailand Digital Outlook ประจำปี พ.ศ. 2565 ที่สรุปตัวชี้วัดการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทยที่สำคัญเป็นรายมิติตามกรอบตัวชี้วัดของ OECD ที่มีตัวเลขดีขึ้นหลายด้าน ได้แก่ มิติการเข้าถึง (Access) พบว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของครัวเรือนไทยในปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 88.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 85.2 ในปี 2564 มิติการใช้งาน (Use) พบว่าสัดส่วนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของไทยปี 2565 เท่ากับร้อยละ 85.0 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 84.3 มิติสังคม (Society) สัดส่วนการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้สูงอายุช่วง 55-74 ปี ในปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 63.1 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 48.8 มิติความน่าเชื่อถือ (Trust) พบว่า ผู้ประสบปัญหาถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล/ความเป็นส่วนตัว เท่ากับร้อยละ 3.4 ลดลง (ดีขึ้น) จากปี 2564 ซึ่งมีค่าอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และมิติการเปิดเสรีของตลาด (Market Openness) พบว่าสัดส่วนผู้ประกอบการที่มีการจำหน่ายสินค้า/บริการ ผ่านทางออนไลน์ไปตลาดต่างประเทศ สูงถึงร้อยละ 26.3 เทียบกับปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.2 เป็นต้น

รวมทั้ง ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางการพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล (Digital Competitiveness) เพื่อเพิ่มแรงขับเคลื่อนการส่งเสริมการพัฒนาอันดับความสามารถในการแข่งขันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ สดช. ได้ร่วมมือกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association : TMA) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ในระยะกลาง 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) และระยะยาว 10 ปี (พ.ศ. 2566-2575) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 

1) ยกระดับประสิทธิผลของกลไกการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐให้เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล 2) ส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทย โดยหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนคือ ผลักดันให้เกิดการใช้งานแอปพลิเคชัน หรือดิจิทัลคอนเทนต์ ที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการไทยภายในประเทศ โดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือสนับสนุน  3) บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่เหมาะสม โดยจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ให้พร้อมรับกับเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 4) เสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ  ที่ครอบคลุมถึงการผลิตแรงงานให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมดิจิทัล ตั้งเป้าหมายสร้างงานจำนวน 4 ล้านคน ภายในระยะเวลา 3 ปี และ 5) ส่งเสริมกระบวนการ Digital Transformation ในประเทศไทย ตลอดจนส่งเสริม e-Government และ e-Participation ในประเทศไทยในวงกว้าง

พร้อมเตรียมปรับปรุงแนวทางการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติภายในประเทศ ด้านตัวชี้วัดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การเก็บชุดข้อมูลมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การจัดอันดับความสามารถของประเทศมีความแม่นยำ และอันดับดีขึ้น