In Thailand

รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์บุกจู่โจมเข้าตรวจ โภชนาการอาหาร-สุขอนามัยผู้ต้องขัง



วันที่ 4  มีนาคม  พ.ศ. 2566 นางสาวจุฑารัตน์ จินตกานนท์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายวิชาการ เดินทางไปตรวจราชการ ณ เรือนจำ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งได้แก่ เรือนจำกลางสุรินทร์ และเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตามรูปแบบการปฏิบัติจริง ว่าด้วยมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)  ตลอดจนโภชนาการและสุขาภิบาลอาหาร และการดูแลสุขอนามัยของผู้ต้องขังทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม และนโยบายของอธิบดีกรมราชทัณฑ์

 โดยการตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ของ นางสาวจุฑารัตน์ ฯ  พบว่า เรือนจำฯ ดังกล่าว ได้ดำเนินการภายใต้มาตรการเฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารสุขอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดูแลบริหารจัดการ ด้านโภชนาการและสุขาภิบาล อาหาร พบว่า ข้าวสาร และอาหารดิบ ที่นำเข้าภายในเรือนจำเป็นไปตามมาตรฐานความโปร่งใส ของเรือนจำ 5 ด้าน ในเรื่องของ มาตรฐานด้านข้าวสาร และมาตรฐานด้านอาหาร ซึ่งทั้งจำนวน ความเหมาะสมของปริมาณ รวมถึงคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐาน การบริหารจัดการและการดำเนินการโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน รวมถึงผ่านการตรวจสอบจากบุคคลภายนอกที่รวมสังเกตุการณ์ เช่น อาหารดิบ อันได้แก่ หมูเนื้อแดง ไก่  ผัก ไข่ไก่ และอาหารแปรรูปที่มีความสดใหม่ เป็นไปตามข้อกำหนด และมาตรฐาน อย. มีการตรวจสอบวันหมดอายุแหล่งผลิตที่ชัดเจน ซึ่งถูกต้องตามคุณลักษณะที่กำหนดในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมรักษามาตรฐานเรื่องความสะอาดเป็นสำคัญ โดยนางสาวจุฑารัตน์ฯ ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ต้องขัง ทั้งด้านสุขภาพกาย และสุขภาพจิต เน้นย้ำว่าเป็นสิ่งสำคัญชี้ควรประสานโรงพยาบาล แม่ข่ายเข้ามาสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ได้มาตรฐาน และให้มีการบันทึกประวัติผู้ต้องขังป่วยใน OPD Card  ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพต่อไป

สำหรับการลงพื้นที่ตรวจราชการในครั้งนี้ ทำให้ได้รับทราบถึงปัญหา และอุปสรรคในการดำเนินงานของเรือนจำฯ พร้อมทั้งให้คำแนะนำและแนวทางในการแก้ไขปัญหาแก่เจ้าหน้าที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไข้ปัญหาอย่างตรงจุดและรวดเร็ว ซึ่งต้องคำนึงถึงสุขอนามัยของผู้ต้องขังเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ต้องขังทุกราย ได้รับการดูแลทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจตามหลักสิทธิมนุษยชนพร้อมกลับสู่สังคมภายหลังพ้นโทษได้อย่างมีคุณภาพต่อไป