In News
นายกฯยันหนุนลงทุนไทย-สหรัฐฯในงาน Trade Winds Business. Forum
กรุงเทพฯ-นายกฯกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน Trade Winds Business Development Forum ยืนยันสนับสนุนการลงทุนระหว่างไทย-สหรัฐฯ พัฒนาศักยภาพและคุณภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการประกอบธุรกิจ
วันนี้ (13 มีนาคม 2566) เวลา 16.30 ณ ห้องบอลรูม Moon and Lunar ชั้น 10 โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ (Avani+ Riverside Bangkok) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Trade Winds Business Development Forum เพื่อส่งเสริม ความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย ตลอดจน ส่งเสริมโอกาสความร่วมมือในประเด็นที่ไทยและสหรัฐฯ ให้ความสำคัญร่วมกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณการจัดกิจกรรม Trade Winds ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการพบปะกับภาคเอกชน รับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจะเป็นประโยชน์ พัฒนา ศักยภาพและคุณภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการประกอบธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด รัฐบาลไทยยินดีที่สหรัฐฯ เลือกจัดกิจกรรม Trade Winds ที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ประเทศไทย สะท้อนถึงโอกาสด้านการค้าและการลงทุน ในประเทศไทยและภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไทยพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลและภาคเอกชนสหรัฐฯ ในการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทเอกชนสหรัฐฯ
โดยกิจกรรม Trade Winds ในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสยกระดับความเป็นหุ้นส่วน ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแล้ว และเป็นโอกาสครบรอบ 190 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นับตั้งแต่ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ เมื่อปี 2376 ซึ่งมิตรภาพ ความเป็นพันธมิตร และความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ได้ดำเนินมาอย่างเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาค ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-สหรัฐฯ มีความใกล้ชิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่การค้าทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า กว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่สองของไทย อีกครั้งในรอบ 15 ปี แสดงถึงความร่วมมือและห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งระหว่างกัน และศักยภาพและความพร้อมของไทยในด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมโยงและโลจิสติกส์
ไทยและสหรัฐฯ มีเป้าหมายและนโยบายที่สอดคล้องกันในการส่งเสริมความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เข้มแข็ง และมีความสมดุล โดยไทยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ – หมุนเวียน – สีเขียว หรือ BCG Economy ซึ่งผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคได้ร่วมกันรับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG และสหรัฐฯ ในฐานะเจ้าภาพเอเปคในปีนี้จะสานต่อการดำเนินการในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ไทยได้ร่วมมือกับสหรัฐฯ และประเทศหุ้นส่วนในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นธรรม ซึ่งแผนความเป็นหุ้นส่วนไทย-สหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างโอกาส ความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติ ได้แก่
ประการแรก คือความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุน และการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค เป็นจุดเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานด้วยที่ตั้งด้านภูมิศาสตร์และมาตรการสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายสำหรับภาคเอกชน โดยไทยสนใจร่วมมือและส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ในสาขาใหม่ ๆ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และชิ้นส่วนต้นน้ำของเซมิคอนดักเทอร์ สินค้าและบริการทางการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมชีวภาพ ยานยนต์ยุคใหม่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมเศรษฐกิจ BCG
ประการที่สอง ไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาด เพื่อเร่งสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำ ในการนี้ ขอเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมลงทุนและสนับสนุน องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยี เพื่อให้ไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฮโดรเจน เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
ประการสุดท้าย การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคืออนาคตของเรา ไทยมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และเร่งดำเนินโครงการ upskill และ reskill ทักษะดิจิทัลเพื่อพัฒนาบุคลากร ในการรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในช่วงที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนสหรัฐฯ ในการลงทุนพัฒนาศูนย์จัดเก็บข้อมูลระบบคลาวด์ในประเทศไทย รวมถึงการขยายความร่วมมือส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศด้านนวัตกรรม การพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ Quantum และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ทั้งนี้ การจัดกิจกรรม Trade Winds ปีนี้ จะยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเพื่อเป้าหมายร่วมกันในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล เข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป
อนึ่ง กิจกรรม Trade Winds เป็นการนำคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ เยือนต่างประเทศประจำปีของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โดยในปี 2566 สหรัฐฯ เลือกจัดกิจกรรมในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยการสร้างเครือข่ายธุรกิจ การจับคู่ทางธุรกิจ และกิจกรรมพบหารือระหว่างภาคเอกชนสหรัฐฯ กับผู้แทนรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ โดยคาดว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 150 คน