In News
ไฟเขียวโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ร่วมโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ชุดที่1
กรุงเทพฯ-ครม.ไฟเขียวโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ ชุดที่ 1 ตั้งเป้าจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ภายในปี 2566 หวังสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 มีนาคม2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ ชุดที่ 1 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าว เพื่อเป็นต้นแบบการศึกษาแนวทางและต่อยอดพัฒนาสู่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) เพื่อเพิ่มความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในช่วงที่ไม่มีแสงแดดและช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นพลังงานน้า รวมทั้งเป็นการเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในจังหวัดและภูมิภาคที่สูงขึ้น และยังช่วยลดการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยที่เป็นการใช้พื้นที่ของ กฟผ. โดยเฉพาะพื้นที่อ่างเก็บน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ ชุดที่ 1 ที่ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของสันเขื่อนอุบลรัตน์ ต.อุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น พื้นที่ประมาณ 250 ไร่ (10 ไร่/เมกะวัตต์) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.32 ของพื้นที่ผิวน้ำ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. ระยะเวลาและแผนการดำเนินโครงการฯ 1 ปี โดยมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ภายในปี 2566
2. ข้อมูลด้านเทคนิค อาทิ 1.มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 24 เมกะวัตต์ และมีขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 31.2 เมกะวัตต์พีค โดยติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอน (c-Si) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณ 44.98 ล้านหน่วยต่อปี [อัตราการเดินเครื่อง (Plant Capacity Factor) ร้อยละ 18.10] 2.ติดตั้งระบบ BESS ขนาดกำลังจ่ายไฟฟ้าประมาณ 6 เมกะวัตต์ ขนาดพิกัด 3 เมกะวัตต์ชั่วโมง โดยเชื่อมโยงเข้าระบบไฟฟ้าของ กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงเขื่อนอุบลรัตน์ 115 กิโลโวลต์ และ 3.ติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) ร่วมกับระบบการพยากรณ์อากาศ (Weather Forecast System) เพื่อบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีอยู่เดิม โดยจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวันแทนโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และนำมวลน้ำมาผลิตไฟฟ้าเสริมในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงค่าหรือช่วงที่ไม่มีแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน
3. แหล่งเงินทุน คือ รายได้ของ กฟผ. ร้อยละ 40 และ แหล่งเงินทุนอื่น ๆ ร้อยละ 60 จากธนาคาร/สถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ การออกพันธบัตรลงทุนในประเทศและต่างประเทศ การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ธนาคาร/สถาบันเพื่อการนำเข้า-ส่งออก ภายใต้งบประมาณ 863.4 ล้านบาท
“โครงการนี้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (แผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) และอีกทั้งนโยบายพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและผลักดันสนับสนุนให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเพราะตระหนักถึงการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของไทย ลดภาวะพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อให้คนไทยได้มีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างมีเสถียรภาพและมีราคาที่เหมาะสม อีกทั้งยังสนองนโยบาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญนอกจากจะทำให้ประชาชนใน จ. ขอนแก่นและในภูมิภาคอีสานมีไฟฟ้าใช้เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าก็จะได้รับประโยชน์ต่างๆ ด้วย เช่น มีกองทุนพัฒนาไฟฟ้า มีการสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน” น.ส.ทิพานัน กล่าว