In News

เผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส1/2566 ขยายตัว2.7เงินเฟ้อ3.9%หนี้ปท.61.2%



กรุงเทพฯ-ครม.รับทราบภาวะเศรษฐกิจไตรมาส1/2566 ขยายตัว2.7% โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออก-นำเข้าลดลง ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.05 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.9 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.2 สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,797,505.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.2 ของ GDP

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี (16 พฤษภาคม 2566)  รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปื 2566 และแนวโน้มปี 2566 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สาระสำคัญ ดังนี้

 1. ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 2.7 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า                                    

1.1 ด้านการใช้จ่าย   การส่งออกบริการและการบริโภคอุปโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูง   การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนของภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง  การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 5.4 ต่อเนื่องจากร้อยละ 5.6 ในไตรมาสก่อนหน้า  การใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1  ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร หมวดสินค้าคงทน ขยายตัวร้อยละ 2.4  หมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.3 การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 3.1 โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.6 และการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 4.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้าโดยเป็นการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจขยายตัวร้อยละ 6.9 และร้อยละ 1.8 ตามลำดับ                                            

1.2  ด้านการค้าระหว่างประเทศ 
-การส่งออกสินค้า-  มีมูลค่า 69,806 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ลดลงร้อยละ 4.6 เทียบกับการลดลงร้อยละ 7.5 ในไตรมาสก่อนหน้า  โดยกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น เคมีภัณฑ์และปิโตรเลียมเคมี  ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์  อุปกรณ์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์  ยางพารา  สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น  ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า  รถยนต์นั่ง   รถกระบะและรถบรรทุก  เครื่องปรับอากาศ ขณะที่การส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักลดลง แต่การส่งออกไปยังตลาดตะวันออกกลาง อินเดียและสหราชอาณาจักรขยายตัว

-การนำเข้าสินค้า-  มีมูลค่า 66,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.3 ในไตรมาสก่อนหน้า

-ด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรมการป่าไม้และการประมงขยายตัวร้อยละ 7.2 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ที่ร้อยละ 1.3 โดยสินค้าเกษตรที่ดัชนีราคาปรับตัวลดลง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือก มันสำปะหลังและไก่เนื้อ  ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ที่ร้อยละ 6.2  สาขาที่พักโรงแรมและบริการด้านอาหาร  ขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 34.3   โดยมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 6.478 ล้านคน  มูลค่าการบริการรับด้านการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.04 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ร้อยละ 300. 4 ส่วนรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวน 1.95 แสนล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.499 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 126.7   สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 8 ร้อยละ 3.3     สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 3.1 ตามการลดลงของกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออกและกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ   สาขาการไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ  ลดลงร้อยละ 4.2

-เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.05 ต่ำกว่าร้อยละ 1.15 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.9 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.2 สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 2.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,797,505.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61.2 ของ GDP
 
2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2566    คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.7 - 3.7 โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจาก  การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว  การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ  ทั้งนี้ คาดว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.7 การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 1.9 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ  และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.6 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.4 ของ GDP
 
3. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2566   การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566  จะให้ความสำคัญกับ

(1) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า เช่น  การเร่งรัดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่มีแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเกณฑ์ดีและการสร้างตลาดใหม่  ติดตามและเฝ้าระวังและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก   การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก เป็นต้น 

(2) การส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน เช่น การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2563 - 2565 เกิดการลงทุนจริง  การส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย  การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นต้น

(3) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง  เช่น การแก้ไขปัญหาและสร้างความพร้อมต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ   การพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง  การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและส่งเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เป็นต้น

(4) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร จะให้ความสำคัญกับการเตรียมมาตรการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก  2566 / 2567 ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับและแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแปรปรวนของสภาพอากาศ   ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูง เป็นต้น

(5)การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศในช่วงหลังการเลือกตั้ง