In News

ความคืบหน้าเจรจาตกลงCEPAไทย-ยูเออี ยันสรุปผลได้ใน6เดือนช่วยเพิ่มGDPไทย



กรุงเทพฯ-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ CEPA ระหว่างไทยกับยูเอดี เชื่อมั่น สรุปผลได้ภานใน 6 เดือน ช่วยเพิ่ม GDP ไทย

วันนี้ (2 มิถุนายน 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามความคืบหน้าการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ  (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) ระหว่างไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เชื่อมั่นศักยภาพความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันสามารถเติบโตได้อีกมาก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ CEPA ระหว่างไทย–สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รอบแรก ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยทั้งสองฝ่ายได้เริ่มหารือยกร่างข้อบทความตกลง CEPA อาทิ การค้าสินค้า กฎถิ่นกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า การค้าบริการและการค้าดิจิทัล ทรัพย์สินทางปัญญา ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าจะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายใน 6 เดือน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากการเจรจา CEPA บรรลุผลสำเร็จ จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1.08–1.2 หมื่นล้านบาท ภาพรวมการส่งออกของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6,494 – 8,305 ล้านบาท โดยสินค้าที่คาดว่าจะส่งออกได้มากขึ้น อาทิ สินค้าอาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง พลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เเละยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-มีนาคม) ทั้งสองประเทศมีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 4,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไป UAE มูลค่า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า มูลค่า 3,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับความร่วมมือในกรอบต่างๆ ระหว่างไทยกับต่างประเทศ โดยการเจรจา CEPA ระหว่าง ไทย-UAE ถือว่ามีความคืบหน้าอย่างมากหลังทั้งสองประเทศเริ่มต้นเดินหน้าเจรจาอย่างเป็นทางการ ซึ่งการทำแต่ละ FTA ของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ และระดมความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดทำความตกลงเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งหากสามารถจัดทำและให้มีผลบังคับใช้ได้โดยเร็ว ประเทศไทยก็ยิ่งได้ประโยชน์เร็วขึ้น ก็จะยิ่งสร้างเม็ดเงินทำให้มูลค่าหรือตัวเลขการส่งออกเพิ่มมากขึ้นได้" นายอนุชาฯ กล่าว

'ไทย - UAE' เดินหน้าเจรจา CEPA รอบเเรก เล็งปิดดีลภายใน 6 เดือน

เมื่อ 24/05/2566นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนไทยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการค้าต่างประเทศ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมศุลกากร และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เข้าร่วม การประชุมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) ระหว่างไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รอบแรก ระหว่างวันที่ 16 – 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นางอรมน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ คณะทำงาน 9 คณะของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มหารือยกร่างข้อบทความตกลง CEPA ซึ่งประกอบด้วยประเด็นสำคัญ อาทิ การค้าสินค้า กฎถิ่นกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า การค้าบริการและการค้าดิจิทัล ทรัพย์สินทางปัญญา ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) โดยตั้งเป้าจะสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม CEPA รอบที่ 2 ในเดือนกรกฎาคมนี้ ณ กรุงเทพฯ

"จากการศึกษาเบื้องต้น พบว่า การจัดทำ CEPA ระหว่างไทย – UAE จะส่งผลให้ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นถึง 318 – 357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,867 – 12,201 ล้านบาท และการส่งออกของไทยในภาพรวมจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 190 – 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,494 – 8,305 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการจัดทำ CEPA ระหว่างกัน โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกได้มากขึ้น อาทิ สินค้าอาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง พลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เเละยานยนต์และชิ้นส่วน" นางอรมน เสริม

ทั้งนี้ UAE เป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลาง ในปี 2565 การค้าระหว่างไทย – UAE มีมูลค่า 20,824.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 73.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไป UAE มูลค่า 3,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจาก UAE มูลค่า 17,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เเละเครื่องเพชรพลอย

สำหรับในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค. 2566) การค้าระหว่างไทย – UAE มีมูลค่า 4,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไป UAE มูลค่า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจาก UAE มูลค่า 3,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ