Travel Sport & Soft Power
กสศ.เผยความเหลื่อมล้ำการศึกษาไทย
กรุงเทพฯ-กสศ.รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาล่าสุดประจำภาคเรียนที่ 2/2563 ชี้โควิด-19ยังส่งผลกระทบครัวเรือนยากจนที่สุดอย่างต่อเนื่องพบรายได้เฉลี่ยครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษลดลงเหลือเพียง 1,021 บาทต่อเดือน60% รายได้ลดลง ถูกออกจากงาน ชี้แม้เข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือของภาครัฐแต่สถานการณ์ภาพรวมยังคงถดถอยเปิดตัวเลขนักเรียนยากจนพิเศษภาคเรียนล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 18%ชี้ทางออกระยะสั้นเร่งแก้ปัญหาวิกฤตการเรียนรู้ Pandemic Wall ก่อนปิดภาคเรียนพร้อมชู 5 มาตรการระยะยาวแก้ปัญหาความยากจนข้ามชั่วคน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อจำนวนกลุ่มเป้าหมาย ของ กสศ.ในปีการศึกษา 2/2563 เพิ่มขึ้นกว่า 18% จากปีการศึกษา 1/2563 ซึ่งในปีการศึกษา2/2563 มีนักเรียนยากจนพิเศษที่คัดกรองใหม่เข้ามา จำนวน 195,558 คนโดยยอดรวมตั้งแต่เริ่มเข้าไปช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษหรือนักเรียนทุนเสมอภาค เมื่อปีการศึกษา 2/2561 ครบ 3 ปีการศึกษากสศ.ให้การช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษแล้ว 1,173,752 คน
ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษมีอัตราลดลง5% โดยในภาคการศึกษา 2/2563 อยู่ที่ 1,021 บาท/เดือน หรือประมาณ 34 บาท/วันลดลงจากภาคการศึกษา 1/2563 ซึ่งอยู่ที่ 1,077 บาท/เดือนโดยแหล่งที่มาของรายได้ยังมาจากเงินเดือนและค่าจ้าง สวัสดิการจากรัฐ/เอกชนและการเกษตร ขณะที่สมาชิกครัวเรือนอายุ 15-65 ปีว่างงานที่ไม่ใช่นักเรียนนักศึกษาอยู่ที่ 31.8%และเป็นผู้ปกครองที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 32%3 ปีกสศ.สร้าง BIG DATA จับชีพจรความเหลื่อมล้ำรายพื้นที่
ดร.ไกรยส กล่าวว่า จากการทำงานร่วมกับคุณครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคนในสถานศึกษา 3 สังกัดคือ สพฐ. อปท.และตชด.เพื่อลงพื้นที่เก็บข้อมูลเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคลทำให้ กสศ.มีข้อมูลเชิงลึกของครัวเรือนที่ยากจน 15% ล่างสุดของประเทศซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้กับหน่วยงานรัฐทั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลังเพื่อดำเนินมาตรการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำตลอดจนการนำข้อมูลไปให้หน่วยงานต้นสังกัดที่ดูแลนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น สพฐ.อปท. และ ตชด. ใช้ในการพิจารณาจ่ายเงินอุดหนุนรายหัวมากกว่า 1.7 ล้านคน
“ด้วยข้อมูลเชิงลึกรายภาคเรียนการศึกษาที่กสศ.จัดเก็บทำให้สามารถจับชีพจรวัดความเหลื่อมล้ำรายพื้นที่ พร้อมทั้งมีข้อมูลเชิงลึกถึงระดับตำบลหมู่บ้านที่หน่วยงานต่าง ๆสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาฟื้นฟูประเทศหลังผลกระทบ COVID-19ตลอดจนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศในเชิงโครงสร้างด้วยการรู้ถึงรายละเอียดกลุ่มเป้าหมายที่ซึ่งเป็นจุดสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การช่วยเหลือที่ไม่ใช่แค่ตัวเด็กนักเรียนแต่เริ่มนำร่องให้การช่วยเหลือถึงครอบครัวผู้ปกครองเพื่อขจัดความยากจนข้ามชั่วคนซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของกสศ. เนื่องจาก กสศ.มีงบประมาณจำกัดแต่เรามีข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ซึ่งหน่วยงานต่างๆจะได้มีโอกาสใช้ข้อมูลเพื่อลดผลกระทบต่างๆได้” ดร.ไกรยส กล่าว
ชี้ “ครัวเรือนยากจนพิเศษ” และ “นักเรียนยากจนพิเศษ” เผชิญภาวะเสี่ยงนางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมและทุนการศึกษากล่าวว่า สถานการณ์โควิดดิสรัปชัน (COVID Disruption)ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ ทั้งนักเรียนและผู้ปกครองโดยผลกระทบของเด็กนอกจากเรื่องการเรียนแล้วยังกระทบเรื่องสภาพจิตใจไม่มีค่าใช้จ่ายไปเรียน ไม่มีหน้ากากอนามัย โรงเรียนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงขณะที่ผลกระทบฝั่งของผู้ปกครอง จากการสำรวจพบว่า 60%ของผู้ปกครองมีรายได้ลดลง รวมทั้งมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูแลมากขึ้น
และจำนวนมากต้องออกจากงาน นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ปกครองที่สามารถปรับตัวได้ยังมีจำนวนน้อยส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ได้ต้องกลับภูมิลำเนาที่ผ่านมากสศ.ได้เข้าไปช่วยเหลือภายใต้โครงการ“ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน” ส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการเกิดการรวมกลุ่ม ทำให้เขามีรายได้ที่สูงขึ้น โดยไม่ใช่ตั้งต้นจากหลักสูตร
แต่เริ่มจากให้กลับไปสำรวจ ในหมู่บ้านว่ามีฐานทรัพยากรอะไร มีศักยภาพอะไรและค่อยพัฒนาส่งเสริมในสิ่งเหล่านั้นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน“ยกตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ ต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ ที่ทางอบต.ลงไปเก็บข้อมูลดูต้นทุนในพื้นที่และยกระดับอาชีพพบว่าการเกษตรที่ใช้สารเคมีเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเราชวนเขามาทำเกษตรอินทรีย์ ผ่านไป 6เดือนเขาสามารถขายในท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต แม้ในช่วง COVID-19ได้รับผลกระทบก็ขยับไปทำดีลิเวอรี่( delivery) เสริมด้านหนึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของตัวเอง1,800บาทอีกด้านก็ช่วยเพิ่มรายได้ 5,000 บาทต่อเดือน ”
การดำเนินโครงการยังพบว่าการที่พ่อแม่มีรายได้สูงขึ้นช่วยทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย จากกลุ่มตัวอย่างที่หนองสนิท 100 คนเป็นเพ่อแม่ของเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ 30 คนจากเดิมที่ครอบครัวยากลำบากทำให้เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษามากขึ้นการช่วยเหลือจึงต้องช่วยทั้งสองด้านทั้งช่วยพ่อแม่ และช่วยเด็กๆโดยขณะนี้ทางกสศ.กำลังจะพัฒนาโมเดลช่วยเหลือเด็กออกจากความยากจนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบายต่อไปเร่งออกจากวิกฤต เมื่อเด็กไทยเผชิญภาวะ Pandemic Wall
จากการประมวลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาล่าสุด ยังพบว่าประเด็นเร่งด่วนที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขจากผลกระทบของการปิดเรียนจากภาวะวิกฤตCOVID-19 โดยรองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เด็กไทยกำลังเผชิญสถานการณ์“ม่านกั้นการเรียนรู้ (Pandemic Wall) หรือ ภาวะที่ต้องเจอโรคระบาด”เด็กจะเริ่มรู้สึกเหนื่อย เบื่อ จากการที่ชีวิตถูก Disrupt โดยโควิด-19 พร้อมกับเกิด“ภาวะสมองเต็ม” หรือ Cognitive Overload ซี่งเกิดจากสมองส่วน WorkingMemory เต็มเพราะความเครียดเกิดการเบื่อ ขาดสารอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้สมาธิหาย เรียนไม่รู้เรื่อง
หลายคนจึงมีปัญหาเรื่องการจัดการตัวเองโดยไม่รู้จะสื่อสารความรู้สึกกดดันวิตกกังวลออกมาอย่างไร ปัญหานี้ผู้ใหญ่จำเป็นต้องช่วยพูดคุยกับเด็ก ๆถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19และควรเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เล่าถึงความรู้สึก ความกังวล ของตัวเด็กที่เกิดขึ้นได้
ในขณะที่ตอนนี้คือช่วงโค้งสุดท้ายของปีการศึกษา 2563เหลืออีกเพียงไม่กี่สัปดาห์จะถึงการสอบและปิดเทอมใหญ่ช่วงเวลานี้เด็กจะต้องรับเนื้อหาการเรียนที่หนักและเยอะกว่าปกติมีทั้งการสอบปลายภาคและการสอบในระดับที่สูงกว่านั้นในภาวะที่เด็กต้องเผชิญปัญหาม่านการเรียนรู้อย่างนี้ ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจท้ายที่สุดเด็กจะมีภาวะความเครียดเกินกว่าจะรับได้ เกินกว่าที่ผู้ปกครองจะรับได้แล้วจะมีผลต่อการจัดการอารมณ์และความวิตกกังวลต่อไปในระยะยาวดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองและครูต้องสร้างพื้นที่ให้เขาได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของภาวะตรงนี้ แล้วช่วยให้เด็กเยาวชนของเรามีโค้งสุดท้ายของปีการศึกษา 2563ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นสามารถทำให้เด็กบริหารจัดการความเครียดและเนื้อหาวิชาที่ต้องรับเข้าไปในช่วงนี้ให้ได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกันได้ในที่สุดในเทอม 2/2563 ที่ผ่านมาแนวโน้มของนักเรียนยากจนพิเศษและยากจนยังเพิ่มขึ้นอยู่ในประเทศไทยแม้ว่าเป็นอัตราเพิ่มที่ลดลงแล้ว แต่ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ รายได้ครัวเรือนอัตราการว่างงานยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอยู่ ปัญหา COVID-19ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพโดยเฉพาะเชิงคุณภาพที่การเปิดผลวิจัยทำให้เราเห็นว่าปรากฏการณ์ COVID Slideหรือภาวะถดถอยทางการเรียนรู้มีอยู่จริงในประเทศไทย โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยเราจึงต้องนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาร่วมกันคิดและหาทางออกว่าเราจะช่วยให้เด็กเยาวชนของไทยเกือบ 10ล้านคนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากในปีการศึกษานี้ไปได้อย่างไรที่จะไม่มีผลกระทบในระยะยาวต่อตัวเด็กและต่อครอบครัว
พอล คอลลาร์ด นักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญการจัดการศึกษาในภาวะวิกฤตและนักปฏิรูปการเรียนรู้ระดับโลก ผู้ก่อตั้ง Creativity, Culture and Education(CCE) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์หลังเปิดเรียนเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งต้องปิดเรียนไปเกือบ 3 เดือนเต็ม ดังนั้นการศึกษาจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นเปิดโอกาสให้โรงเรียนและผู้เรียนได้ร่วมกันมองหาวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละกลุ่ม โดยอาจมีทั้งการสอบหรือการวัดผลด้วยวิธีอื่นร่วมกันเช่นการประเมินจากผลงานของนักเรียน เป็นต้น
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเลือกไหนที่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วหน่วยงานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องช่วยหาทางออกสำหรับเด็กทุกกลุ่มร่วมกันจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เรารู้ว่ามีเด็กมากมายที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีดังนั้นการจัดรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตามเด็กอาจยังไม่เข้าใจวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองเนื่องจากเขาไม่เคยได้รับการเตรียมตัวให้พร้อมมาก่อนทำให้เรามองเห็นโอกาสอีกมากที่จะได้มองและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนโดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าวิชาการหรือสิ่งที่เรียนรู้ในหลักสูตรเหล่านี้มีความจำเป็นต่อชีวิตมากน้อยแค่ไหนเราจำเป็นต้องเรียนจริงๆ หรือไม่ และบทเรียนที่สำคัญเราได้เรียนรู้จากโควิด-19ก็คือการปฏิรูปบ่มเพาะผู้เรียนให้เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเองพึ่งพาตนเองในการเรียนรู้ให้ได้5 ข้อเสนอปลดล็อคปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ”
อย่างไรก็ตามสำหรับแนวทางการแก้ปัญหานะยะยาว รองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่ากสศ.มีความตั้งใจจะนำบทเรียนนี้มาสู่การบูรณาการการทำงานทั้งครัวเรือนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามชั่วคนโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 5
ข้อเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำฯ ได้แก่
1.บูรณาการข้อมูลสถานการณ์ความยากจนรายครัวเรือนระหว่างหน่วยงานต่าง ๆเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและความยากจนในระยะยาว
2.บูรณาการงบประมาณและทรัพยากรระหว่างหน่วยงานต่าง ๆที่มีภารกิจแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและความยากจนซึ่งปัจจุบันมีมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศไทยมากกว่า 40มาตรการที่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ยั่งยืน
3.แก้ไขปัญหาความยากจนโดยใช้ครัวเรือนเป็นฐาน(Household-based Anti-poverty Intervention) ในการดำเนินการมาตรการต่อเนื่อง 5-10 ปี
4.แก้ไขปัญหาภาวะ COVID Slide และ Pandemic Wall ในประเทศไทยเพื่อป้องกันผลกระทบของ COVID-19 ต่อพัฒนาการของเด็กเยาวชนในระยะยาว
และ 5.Build Back Betterข้อเสนอเชิงนโยบายเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยกลับมาสู่เส้นทางของการแก้
ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งวสหประชาชาติหรือ SDGs ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า