In Bangkok

'ชัชชาติ​'ชี้เป็นผู้นำในยุค 'Next Normal' สู่ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​เป็นแบบอย่างที่ดี



กรุงเทพฯ-ผู้ว่าฯ​ ชัชชาติ​ บรรยาย​ "การเป็นผู้นำในยุค Next Normal" สู่ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​ เป็นแบบอย่างที่ดี มีความสามารถ​ ติดตามเทคโนโลยี สร้างความไว้ใจให้ประชาชน 

(21 ก.ค.66)​ เวลา​ 09.00 น.​ นายชัชชาติ​ สิทธิพันธุ์​ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร​ บรรยายพิเศษเรื่อง "การเป็นผู้นำในยุค Next Normal" ตามโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​ โดยมี​ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร​ ผู้บริหารสำนัก​ ผู้อำนวยการเขต​ หัวหน้าสำนักงาน ก.ก.​ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคลกรุงเทพมหานคร ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ร่วมรับฟังการบรรยาย ณ​ ห้องทานตะวัน อาคาร 3 ชั้น 2 ศูนย์การเรียนรู้มหานคร เขตหนองจอก 

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร​ กล่าวว่า​ เรื่องครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราดูแลครอบครัวได้ไม่ดีก็ยากที่จะทำงานใหญ่ได้​ บทเรียนแรกที่สำคัญคือการดูแลสิ่งสำคัญในชีวิตก่อน ด้วยการบริหารจัดการเวลา​ ทุกคนล้วนมีโหลแก้ว 1 ใบคือมีเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันเท่ากัน ให้เรานำของสำคัญ 3 สิ่ง เข้าไปในโหลแก้ว คือ​ ก้อนหิน​ ดิน และกรวดทราย​ การเป็นผู้บริหารที่ดีได้คือการเลือกเอาก้อนหินซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตลงไปในโหลแก้วให้ได้ก่อน เช่น​ สุขภาพที่ดี การงาน ครอบครัว​ และการแสวงหาความรู้ ชีวิตเราจะมีความมั่นคงและหนักแน่น​ จากนั้นค่อยนำดินซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตรองลงมา และกรวดทรายซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยที่สุดใส่เข้าไปในโหลแก้วเป็นลำดับสุดท้าย 

การบริหารงานเป็นผู้นำยุค Next Normal เพื่อก้าวสู่การเป็น Smart City​ สิ่งสำคัญที่สุด​ คือความไว้วางใจ​ การที่จะเป็นผู้นำคนอื่นได้นั้น เริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น และควรรักษาความไว้วางใจนี้ให้เท่าชีวิต เนื่องจากเมื่อสูญเสียไปแล้วจะสามารถนำกลับมาเหมือนเดิมได้ยากมาก ดังนั้นหน้าที่สำคัญของผู้อำนวยการเขตและผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตคือการสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแสดงให้เห็นด้วยการกระทำและส่งผลต่อการทำงาน เมื่อได้รับความไว้วางใจจากประชาชนแล้วความเร็วในการทำงานจะเพิ่มขึ้น​และต้นทุนการทำงานจะลดลง โดยสิ่งสำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจได้​คือ​ การมีความประพฤติที่ดี และมีความสามารถที่ดีควบคู่กัน นอกจากนี้ยังต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาให้ก้าวทันโลก ระบบราชการจึงมีหน้าที่สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน 

"ทรัพย์สินที่เราหามาได้ในชีวิตเหมือนโอ่งน้ำบริสุทธิ์ 1 โอ่ง​ ซึ่งสามารถดื่มได้เรื่อยๆ​ ตลอดชีวิต นั่นคือทรัพย์สินที่เราหามาได้ด้วยความสุจริต ดังนั้นถ้าหากมีน้ำเสียเพียงหยดเดียวคือ ทรัพย์สินที่ได้มาด้วยความทุจริต หยดเดียวลงไปในโอ่ง ก็จะทำให้น้ำบริสุทธิ์ทั้งโอ่งไม่สามารถดื่มได้ นั่นก็คือชื่อเสียงทั้งหมดที่เราสะสมมาทั้งชีวิตสูญเสียไป​ และยังส่งผลถึงการดำเนินชีวิตและครอบครัวอีกด้วย​ ดังนั้น จึงอย่ามองเพียงแค่ประโยชน์ของตนเอง แต่ให้มองถึงผู้อื่นที่ได้รับผลกระทบด้วย แล้วจะทำให้เราเป็นที่ไว้วางใจของทุกหน่วยงานและสามารถอยู่ในสังคมได้" ผู้ว่าฯ​ กทม.​ กล่าวถึงส่วนหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดี 

ในส่วนของ Smart City​ คือการทำให้เมืองเท่าทันเทคโนโลยี หัวใจสำคัญคือการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มความสามารถของคน​ หรือการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาสร้างผลผลิตให้เมืองและให้คน โดยยึดการดำเนินชีวิตของคนเป็นหลักแล้วนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาสนับสนุน  ตัวอย่างเช่น​ Traffy Fondue ที่ใช้แก้ปัญหาระบบราชการแบบเก่าที่ทำงานด้วยระบบท่อ​ คือการมอบหมายงานไปตามระบบราชการซึ่งแต่ละเรื่องที่ร้องเรียนมาดำเนินการได้ช้ามาก ปัจจุบันในภาคเอกชนไม่มีระบบนี้แล้ว​ ในภาคเอกชนจะใช้ระบบ Platform คือ​ โยนเรื่องและปัญหา ทั้งหมดไปที่กระดาน แล้วให้คนที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนรับผิดชอบรับเรื่องไปดำเนินการ โดยข้อดีของระบบ​ Platform ดังกล่าว​คือ​ความโปร่งใส​ เนื่องจากทุกคนเห็นเรื่องทั้งหมดบนกระดาน​ ซึ่งระบบดังกล่าวในปัจจุบันทำให้กทม.กระตือรือร้นมากขึ้น จนสามารถแก้ไขปัญหาได้กว่า​ 245,000 เรื่อง จาก​ 337,000 เรื่อง นี่คือตัวอย่าง Smart City อย่างแท้จริง​ และประสบความสำเร็จเนื่องจากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน 

เรื่องต่อไปของ Smart City คือการบริหารจัดการข้อมูลซึ่งต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์เรื่องราวต่าง​ ๆ​ และสามารถนำมาจัดเป็นระบบหมวดหมู่ได้ง่ายขึ้น​ จนนำมาซึ่งสถิติเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการในปัจจุบัน และยังสามารถรับปัญหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำงานนอกเหนือเวลาราชการได้ นอกจากนี้ยังสามารถประมวลผลออกมาเป็นรูปธรรมแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานได้อีกด้วย 

นอกเหนือจากนี้​ การเป็นผู้นำที่ดีในยุค Next Normal คือ​ การปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่าง ดังนั้นการเป็นผู้อำนวยการเขตและผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต จึงต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับบุคลากรของกรุงเทพมหานคร รวมถึงร่วมทุกข์ร่วมสุขในการแก้ปัญหาต่าง​ ๆ ในพื้นที่เขต​ การลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจบุคลากรที่ปฏิบัติงานก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากบุคลากรเหล่านั้นคือข้อต่อข้อสุดท้ายที่จะเชื่อมนโยบายของผู้บริหารกรุงเทพมหานครไปสู่ประชาชน หากบุคลากรขาดกำลังใจแล้ว การทำงานไปสู่ประชาชนก็ไม่สามารถจะเกิดประสิทธิภาพได้ ดังนั้นจึงต้องลงพื้นที่เพื่อสอบถามปัญหาจากบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม"ผู้ว่าฯ​สัญจร" อีกด้วย ที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สอบถามปัญหาต่าง​ ๆ​ จากบุคลากรในระหว่างมื้ออาหารกลางวัน 

"การเป็นผู้นำหรือ​ผู้บริหารคือ บุคคลที่มีความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาและจากประชาชน เพราะฉะนั้นจึงต้องทำงานได้มากกว่าที่ประชาชนคาดหวัง ประชาชนสั่งให้เราทำ 1 เราต้องทำ 10 โดยต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์คิดเพิ่มเติมจากสิ่งที่ประชาชนต้องการ​ ที่สำคัญช่วงนี้คือต้องแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความโปร่งใส เพื่อสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจให้กับประชาชน" ผู้ว่าฯ​ ชัชชาติ​ กล่าวในตอนท้าย 

ซึ่งในวันเดียวกันนี้​ เวลา​ 08.30​ น. รศ.ทวิดา​ กมลเวชช​ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร​ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​ และร่วมบรรยายพิเศษ เรื่อง "การเป็นผู้นำในยุค Next Normal" 

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร​ กล่าวว่า​กรุงเทพมหานครมีหน้าที่สำคัญ ในการให้บริการประชาชน ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยเหลือสนับสนุนการบริหารงานของผู้อำนวยการเขต ในการให้บริการและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนนโยบายของผู้บริหารกรุงเทพมหานครสู่ประชาชนได้โดยตรง​กรุงเทพมหานครจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตให้มีศักยภาพ​สามารถช่วยผู้อำนวยการเขตในการบริหารงานได้​ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จุดมุ่งหมายประการสำคัญของการฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​คือ​ เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายผู้บริหารกรุงเทพมหานครไปสู่การปฏิบัติในการพัฒนางานเขต เสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำในการเป็นนักบริหารงานเขตให้สามารถบริหารงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการแก้ปัญหาและการให้บริการของกรุงเทพมหานคร​ สำนักงาน ก.ก.ได้จัดให้มีโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้ทักษะการเป็นนักบริหารงานเขต​ ตลอดจนการนำเทคนิคจากท่านวิทยากรไปปรับใช้ในการบริหารงาน​ รวมทั้งการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการภารกิจที่รับผิดชอบและการบริหารของกรุงเทพมหานครต่อไป 

"แต่ก่อนคนมองกรุงเทพมหานคร(กทม.)​ ว่าเป็นหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ​ ที่ไม่พิเศษจริงอย่างชื่อ​ แต่ในปีที่ผ่านมามีหลายหน่วยงาน​ อาทิ องค์กรระหว่างประเทศ กพร. หน่วยงานรัฐบาลระดับกระทรวง ชื่นชมกทม. มากขึ้น​และยกย่องให้เป็นต้นแบบในการทำงานในรูปแบบที่มีความก้าวหน้าสูงมาก จึงอยากสะท้อนว่านี่ไม่ใช่ผลงานของผู้บริหารกรุงเทพมหานคร แต่เป็นผลงานของบุคลากรทุกคน โดยเฉพาะสำนักงานเขตที่เป็นผู้ปฏิบัติงานอยู่ที่ปลายทาง เป็นเฟืองจักรสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสู่พี่น้องประชาชน​" รองผู้ว่าฯ​ ทวิดา​ กล่าวในการบรรยาย 

ทั้งนี้​ การฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต​ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายผู้บริหารกรุงเทพมหานครไปสู่การปฏิบัติในการพัฒนางานเขต เสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำในการเป็นนักบริหารงานเขต มีสมรรถนะในการเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตและผู้อำนวยการเขต เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติงานและเครือข่ายในการติดต่อประสานงาน​ ซึ่งสํานักงาน ก.ก.​ ดำเนินการฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต ลักษณะการฝึกอบรมเป็นแบบพักค้าง​ จำนวน 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันที่ 21-23 ก.ค 66 ณ ศูนย์การเรียนรู้มหานคร เขตหนองจอก กลุ่มเป้าหมายเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต ไม่รวมผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 90 คน การฝึกอบรมในครั้งนี้ได้นำสมรรถนะเฉพาะสำหรับตำแหน่ง Functional Competencies ของผู้อำนวยการเขต ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต และหัวหน้าฝ่ายในสังกัดสำนักงานเขตมาใช้ในการออกแบบการฝึกอบรม โดยแบ่งหัวข้อรายวิชาออกเป็น 5 วิชา ดังนี้​ 1. การเป็นผู้นำในยุค Next Normal 2. การบริหารเชิงพื้นที่ 3. โครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสำนักงานเขต ปัจจุบันสู่อนาคต 4. การเสริมสร้างศักยภาพการเป็นผู้บริหารงานเขตและการขับเคลื่อนโยบายสู่การปฏิบัติ และ​ 5. การสื่อสารประชาสัมพันธ์และการติดตามประเมินผลการขับเคลื่อนนโยบาย