In Bangkok
กทม.สั่งให้เกลี่ยอัตราคนและทรัพยากร ไปยังเขตที่ขาดแคลนเพิ่มเก็บขยะดีขึ้น
กรุงเทพฯ-กทม.สั่งเกลี่ยอัตราคนและทรัพยากรไปยังเขตที่ขาดแคลนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บขยะให้ดีขึ้น
(7 ส.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงเรื่องขยะ ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 17/2566 ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ว่า กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะที่ลดลง จากสถิติพบว่าปริมาณขยะในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2566 ลดลงจากปี 2565 โดย เดือน ก.พ. ลดลง 199 ตันต่อวัน 5,572 ตันต่อเดือน เดือน มี.ค. ลดลง 273 ตันต่อวัน 8,463 ตันต่อเดือน เดือน เม.ย. ลดลง 318 ตันต่อวัน 9,540 ตันต่อเดือน เดือน พ.ค. ลดลง 713 ตันต่อวัน 22,103 ตันต่อเดือน เดือน มิ.ย. ลดลง 719 ตันต่อวัน 21,570 ตันต่อเดือน เดือน ก.ค. ลดลง 329 ตันต่อวัน 10,100 ตันต่อเดือน ซึ่งประหยัดงบประมาณได้ 147,149,300 บาท
ในภาพใหญ่ได้ให้นโยบายไปว่า ทุกจุดในกรุงเทพฯ จะต้องเก็บขยะอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือเขตฝั่งตะวันออกซึ่งมีการขยายตัวของที่อยู่อาศัยมากขึ้น จะพบว่ามีปริมาณขยะเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับปรุงเรื่องการให้บริการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ทั้งในเรื่องการปรับการใช้รถ กำลังคน และในแง่ของทรัพยากรต่าง ๆ โดยเกลี่ยจากเขตที่มีอัตราเยอะไปยังเขตที่อัตราไม่เพียงพอ
● ผังเมืองรวมฉบับใหม่อยู่ระหว่างขั้นตอนรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้อง
นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการทำผังเมืองรวมว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งจะทำเป็นครั้ง เป็นรอบ ๆ ไป ล่าสุดเมื่อประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวเสริมว่า ความโปร่งใสมาจากการเปิดให้ประชาชนเห็น มีการชี้แจงอธิบายที่มาที่ไป คนที่ร่วมทำประชาพิจารณ์เป็นอาจารย์ กรุงเทพมหานครไม่ได้มีส่วนเข้าไปกำหนด แค่ให้นโยบาย แล้วก็พัฒนาตามหลักวิชาการ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการเป็นผู้ช่วยพิจารณา เรื่องนี้ไม่ได้เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิ์ในการก่อสร้าง แต่เป็นแนวทางว่าแต่ละพื้นที่สามารถก่อสร้างอะไรได้บ้าง สุดท้ายก็ต้องมาขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผังเมืองเองก็คงไม่ได้เปลี่ยนแต่เหมือนเป็นการพัฒนาการตามลำดับชั้นมากกว่า ผังเมืองจะทำให้เมืองเป็นเมืองน่าอยู่ อาจมีบางจุดเปลี่ยนสีบ้าง แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
● ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงแนวทางขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ
รองผู้ว่าฯ วิศณุ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีแอชตันว่า สำนักการโยธาได้แจ้งคำพิพากษาให้บริษัททราบแล้วเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 66 และแจ้งให้สำนักงานเขตปฏิบัติตามคำพิพากษา เขตอยู่ระหว่างออกคำสั่งให้มายื่นใบขออนุญาตก่อสร้างใหม่ตามมาตรา 41 และสำนักการโยธาจะมีการตั้งคณะกรรมการปรับปรุงแนวทางการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ คาดว่าวันนี้จะมีการออกคำสั่งเพื่อทบทวนข้อมูลและกระบวนการที่มีอยู่ทั้งหมด
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวถึงกรณีคุณศรีสุวรรณ อยากให้กทม.ตั้งกรรมการตรวจสอบการทุจริตในการอนุญาตก่อสร้างว่า คณะกรรมการคงไม่มีหลายชุด กรรมการชุดนี้น่าจะทบทวนทั้งหมดและเอากรณีแอชตันเป็นกรณีศึกษา หากใครมีเบาะแสการทุจริตก็ขอให้แจ้งเข้ามาเลย พร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการ เรื่องของแอชตันมีขั้นตอนในการพิจารณา มีหลักการ ตอนนี้ยังไม่มีใครแจ้งเบาะแสการทุจริตเข้ามา ถ้าหากมีข้อมูลการทุจริตก็แจ้งเข้ามาได้
ส่วนการขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ยังมีไม่เยอะ น่าจะยังไม่คุ้นชิน ต้องค่อยเป็นค่อยไป ก็อาจมีแรงจูงใจเพิ่ม เช่น ขออนุญาตปกติระยะเวลาพิจารณา 45 วัน แต่ขออนุญาตออนไลน์ใช้เวลา 30 วัน เป็นต้น ซึ่งอาจช่วยให้มีการขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์มากขึ้นในอนาคต
● กำชับให้มีผู้อำนวยการเหตุดูแลการดับเพลิงและกู้ภัย เพิ่มประสิทธิภาพในภาพรวมและรักษาน้ำใจทุกฝ่าย
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมีการโพสต์เกี่ยวกับการเข้าไปปฏิบัติหน้าแล้วถูกตำรวจค้นตัวว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน มองได้สองมุม คือ มุมหนึ่งไม่ไว้ใจกัน ส่วนอีกมุมเป็นการสร้างความมั่นใจว่าบริสุทธิ์ใจ เข้าใจว่าผู้ที่มาเป็นอาสาสมัครมาด้วยความประสงค์ดี คงต้องหาทางออกที่รักษาน้ำใจกันทุกฝ่าย ไม่ไปก้าวล่วง ต้องดูเป็นกรณีไป ดูว่าขั้นตอนในที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร จริง ๆ ไม่ใช่กังวลแค่เรื่องของหาย คงต้องดูถึงเรื่องการประสานงานในการดับเพลิงด้วย ดูในเรื่องการบริหารจัดการภาพรวม ซึ่งได้สั่งการไปว่าต้องมีผู้อำนวยการเหตุที่แบ่งงานความรับผิดชอบเป็นจุด ๆ เป็นส่วน ๆ ไป ถ้ามีผู้อำนวยการเหตุ ใครเข้าออกตรงไหน เรื่องการค้นตัวอาจไม่เกิดขึ้น ปัญหาที่สะท้อนไม่ใช่แค่เรื่องการค้นตัว แต่เป็นการบริหารภาพรวมในการดับเพลิงและกู้ภัยมากกว่า คงต้องมีการทบทวนการบริหารจัดการกู้ภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น