In News

นายกฯลุยระยองตรวจความคืบหน้าอีอีซี ปลื้มผลสำเร็จEECi-VISTEC-PTTLNG



ระยอง-​นายกรัฐมนตรีพอใจความก้าวหน้า EEC และ EECi จ.ระยอง ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ให้ประชาชนหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง และพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน พร้อมติดตามแนวทางการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ขอบคุณภาคอุตสาหกรรม ร่วมกันลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคมและเยี่ยมชมโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว ต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (9 สิงหาคม 2566) เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมตรวจติดตามความก้าวหน้าครั้งนี้ โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ นำเสนอภาพรวมโครงการฯ และนำเยี่ยมชมตามลำดับ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center: IOC) พร้อมรับฟังรายงานความก้าวหน้า EEC และความก้าวหน้าโครงการ EECi จากนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ EEC ซึ่งภาพรวมการดำเนินงานมีความก้าวหน้าตามลำดับตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 อุตสหกรรม ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน ซึ่ง EECi เป็นหนึ่งในอุตสหกรรมเป้าหมายดังกล่าวด้วย โดยความสำเร็จของ EEC 5 ปีแรก (2561-2565) อนุมัติเงินลงทุนเกินเป้าหมาย 2 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายมูลค่าการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าออกบัตรส่งเสริมปี 2561 ถึง Q2/2566 จำนวน 1,360,349 ล้านบาท โดยเป็น 3 อุตสาหกรรมเป้าหมาย มูลค่าออกบัตรส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยานยนต์ และเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์(Solar Rooftop Energy) พลังงานสะอาด ระบบผลิตไฟฟ้าความร้อนร่วม ศูนย์กระจายสินค้า ศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ ภาคโลจิสติกส์ เหล็ก วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ ประเทศที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน ปี 2561 – Q2/2566 มูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 ลำดับแรก คือ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกงตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีความก้าวหน้าในโครงการที่สำคัญของ EEC เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐานใน EEC ทั้งโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินตะวันออก โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F เป็นต้น รวมทั้งจัดทำ (ร่าง) แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนา อีอีซี (พ.ศ. 2566-2570) 

รวมทั้งนายกรัฐมนตรีรับทราบภาพรวมการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ก่อนเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการอัจฉริยะ IOC จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการ EECi รับฟังรายงานภาพรวมการพัฒนาโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (EECi Aripolis - Sustainable Manufacturing Center : SMC) และเมืองนวัตกรรมชีวภาพ การเกษตรสมัยใหม่ (EECi Biopolis - Innovative Agriculture Smart Greenhouse) โดยภายหลังการเยี่ยมชม นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมเลขาธิการ EEC บริษัท ปตท. และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันขับเคลื่อน EEC และโครงการ EECi ซึ่งมีความก้าวหน้าโดยลำดับตามแผนที่กำหนด พร้อมย้ำถึงการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมได้รับทราบถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อน EEC ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้มีการขยายไปสู่การขับเคลื่อน EEC ในประเภทต่าง ๆ ทั้ง EECi  EECh EECd EECmd EECa เพื่อมุ่งให้ประชาชนหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ทำให้ประเทศมีรายได้ในการพัฒนาประเทศมากขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 

นางสาวทิพานันกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ EEC ต้องทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มีความสุข และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมทั้งด้านกายภาพและจิตใจ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมไปถึงการร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียวและอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำที่รัฐบาลให้ความสำคัญ การประกอบการต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลกในปัจจุบันและอนาคต รวมไปถึงการเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในประเทศรองรับการพัฒนาในพื้นที่ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับการพัฒนาในพื้นที่และการพัฒนาของประเทศให้เพียงพอ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน โดยขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำเพื่อประเทศชาติ ในการเตรียมความพร้อมทุกด้านให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการพัฒนาของโลกด้วย

“นายกรัฐมนตรี ชื่นชม อว. สวทช. ที่ดำเนินการเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ในการทำให้งานวิจัยไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับประเทศ รวมถึงการดำเนินการขับเคลื่อนเรื่องของแสงซินโครตรอน เพื่อนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง และยั่งยืนต่อไป” นางสาวทิพานัน กล่าว 

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปยังสถาบันวิทยสิริเมธี ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง โดยขบวนรถยนต์ (รถบัส EV) เพื่อติดตามติดตามแนวทางการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ โครงการ EECi เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ EEC ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างพื้นที่นวัตกรรมใหม่ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ นำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดหน้าดินก่อสร้างเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ณ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยขึ้นแท่น “ศูนย์กลางนวัตกรรมชั้นนำ” แห่งใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมสมบูรณ์ ยกระดับงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

​นายกฯ ติดตามแนวทางการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย

นางสาวทิพานัน กล่าวอีกว่าในเวลา10.55 น. ณ  สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง พลเอก ประยุทธ์ พร้อมคณะ ตรวจติดตามแนวทางการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังความก้าวหน้าและการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เป้าหมาย Net Zero กับโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งโครงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของเมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ และโครงการพัฒนาบุคลากรสําหรับเทคโนโลยีขั้นสูงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยสถาบันวิทยสิริเมธี

นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการขับเคลื่อน EEC และ EECi  รวมถึง EEC ด้านอื่น ๆ ทั้ง EECi EECh EECd EECmd และ EECa เพื่อเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศส่งต่อไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง และยั่งยืน พร้อมชื่นชมสถาบันวิทยสิริเมธี และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถาบันฯ ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและศักยภาพในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพทัดเทียมสถาบันอุดมศึกษาชั้นนําระดับโลก เพื่อผลิตนักวิจัยในการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม เน้นพลังสร้างสรรค์แห่งการเรียนรู้ที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมขอบคุณที่ทุกฝ่ายที่ช่วยกันขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลจนเกิดผลเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อพัฒนาชุมชนและประเทศไปสู่อนาคต 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยของนักศึกษาสถาบันวิทยสิริเมธี เช่น เทคโนโลยีผลิตสารบำรุงพืชชีวภาพไบโอวิส (BioVis) ระบบถังสุดดี (ขยะอินทรีย์จากเศษอาหารจากโรงเรียนและชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ) จำนวน 29 สถานี 14 จังหวัด 

สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เป็นการดำเนินการที่สอดรับกับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งในการประชุมระดับผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties: COP) สมัยที่ 26 (COP26) เมื่อปี 2564 นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเจตนารมณ์ในการยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศของไทย พร้อมร่วมมือกับทุกประเทศและทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญของโลก เพื่ออนาคตของประชาชนรุ่นหลัง และได้ให้คำมั่นในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมทั้งปรับปรุงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นร้อยละ 30-40 ภายใน ปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) จากเดิมร้อยละ 20 -25 นอกจากนี้ รัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ฉบับปรับปรุง และจัดทำ NDC Roadmap เพื่อรองรับและส่งเสริมการพัฒนาที่ยืดหยุ่นกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงขอความร่วมมือให้ภาคอุตสาหกรรมคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตามนโยบาย “อุตสาหกรรมสีเขียว” ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้กระบวนการผลิตดำเนินไปควบคู่กับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ซึ่งภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจสามารถนำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG มาปรับใช้ต่อยอดการดำเนินกิจการต่อไปได้ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายกฯ เยี่ยมชมโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว

นางสาวทิพานัน ได้กล่าวอีกว่า ในเวลา 15.30 น. พลเอก ประยุทธ์ เดินทางเยี่ยมชมโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาว ณ อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นการดำเนินงานโดยบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) ผู้ให้บริการจัดส่งก๊าซธรรมชาติที่ได้จากการเปลี่ยนสถานะ LNG เข้าสู่โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับภาคอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าในการผลิตกระแสไฟฟ้า เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศชาติ

นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานสรุปภาพรวมโครงการฯ ซึ่งโครงการฯ ใช้การพัฒนาความเย็นจาก LNG มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในขั้นตอนการแปรสภาพก๊าซ LNG จากของเหลวเป็นก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดพลังงานความเย็นเหลือใช้ ทั้งการนำไปใช้ในโรงแยกอากาศ Air Separation Unit ซึ่งเป็นหน่วยแยกอากาศแห่งแรกของประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำพลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะ LNG มาใช้ รวมถึงนำความเย็นไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในหน่วยผลิตไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ภายในสถานี LNG และนำไปใช้ในระบบปรับอากาศของอาคาร นอกจากนี้ ยังนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชเมืองหนาวและพืชเมืองร้อน ต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยได้ศึกษาทดลองและวิจัยเทคโนโลยีการปลูกพืชเมืองหนาวและพืชเมืองร้อน ณ ศูนย์เลิศพัฒนพฤกษ์ ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเป็นการออกแบบภายใต้แนวคิดอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ความเย็นจากก๊าซ LNG และได้รับรางวัลอาคารเขียวไทย (Thai Green Building Institute: TGBI) ระดับPlatinum ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของรางวัลอาคารเขียวไทย โดยมีเป้าหมายเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่ให้แก่ชุมชน เกษตรกร นิสิต และนักศึกษา ทั้งในพื้นที่จังหวัดระยอง และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ 

สำหรับพื้นที่ส่วนจัดแสดงพันธุ์ไม้เมืองหนาวที่ปลูกโดยใช้ความเย็นจากก๊าซ LNG แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่พรรณไม้ที่ปลูกไว้ถาวร ได้แก่ ไม้ยืนต้นผลัดใบ (Deciduous plants) อาทิ ต้นเบิร์ช แมกโนเลีย เมเปิ้ลปลูกร่วมกับไม้พุ่มที่ออกดอกตามฤดูกาล (Seasonal Flowers) อาทิ ทิวลิป ไฮเดรนเยีย ดอกแดฟโฟดิล ซึ่งสามารถขึ้นได้ในสภาพอากาศเย็น และพื้นที่แปลงจัดแสดงไม้ดอกเมืองหนาวที่นำมาจากศูนย์เลิศพัฒนพฤกษ์ของสถานี LNG มาบตาพุด แห่งที่ 1 ที่จะจัดแสดงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามแต่ละเดือน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีชื่นชมการดำเนินการดังกล่าวของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีการพัฒนาต่อยอดพลังงานหมุนเวียน ด้วยการนำความเย็นเหลือใช้จากการแปรสภาพ LNG ให้กลับเป็นก๊าซ (Regasification Process) มาเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้สำเร็จ และต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม  พร้อมย้ำว่า การเดินหน้าด้านวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ ที่รัฐบาลได้วางรากฐานไว้สำหรับประชาชนทุกภาคส่วนประเทศ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันขับเคลื่อนสานต่อนโยบายของรัฐบาลต่อไป เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่อนาคตร่วมกัน