Think In Truth

อ่อยเหยื่อ...สร้างอุปทานMoney Flow โดย : หมาเห่าการเมือง



การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของรัฐบาลเศรษฐา1 ได้มีมติอนุมัติมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการหลายมาตรการ มีมาตรการหนึ่งที่น่าสวนใจ คือ ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อลดภาระหนี้สิน และเพิ่มรายได้ให้แก่ข้าราการ โดยให้เริ่มดำเนินการ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567ซึ่งถ้ามองแบบไม่ต้องคิดอะไร คือ ไม่ได้ให้เงินรายได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างได เพียงแต่แบ่งจ่าย เดือนละ 2 ครั้ง ยังไม่มีใครนึกออกว่า จะลดภาระหนี้สินของข้าราการอย่างไร และจะเพิ่มรายได้ให้กับข้าราการอย่างไร???....มาตรการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง คาดว่าจะเกิดผลทั้งในด้านบวกและด้านลบ ดังนี้

ด้านบวก

  • ช่วยลดภาระหนี้สินของข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อยที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก โดยช่วยให้มีเงินไว้ใช้จ่ายระหว่างเดือนได้มากขึ้น โดยช่วยให้ข้าราชการมีเงินไว้ใช้จ่ายระหว่างเดือนได้มากขึ้น ส่งผลให้ข้าราชการสามารถผ่อนชำระหนี้สินได้อย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว

โดยทั่วไปแล้ว ข้าราชการมักจะมีเงินเดือนไม่มากนัก และมักจะมีภาระหนี้สินค่อนข้างสูง เช่น หนี้สินจากการซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และบัตรเครดิต เป็นต้น ในช่วงต้นเดือน ข้าราชการมักจะมีเงินเดือนไม่เพียงพอที่จะผ่อนชำระหนี้สินทั้งหมด ทำให้ต้องกู้ยืมเงินจากนอกระบบ หรือก่อหนี้สินเพิ่มเติมในช่วงปลายเดือน ซึ่งจะส่งผลให้มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ข้าราชการมีเงินไว้ใช้จ่ายระหว่างเดือนได้มากขึ้น โดยสามารถแบ่งเงินบางส่วนมาผ่อนชำระหนี้สินได้ทันที ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของข้าราชการ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว

อย่างไรก็ตาม มาตรการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการอย่างยั่งยืน เนื่องจากไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ของข้าราชการแต่อย่างใด ดังนั้น ข้าราชการจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย และวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ช่วยให้ข้าราชการวางแผนการเงินได้ดีขึ้น โดยสามารถแบ่งเงินออกเป็นงวดๆ เพื่อใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยช่วยให้ข้าราชการสามารถแบ่งเงินออกเป็นงวดๆ เพื่อใช้จ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะใช้จ่ายเกินตัว และนำไปสู่การเป็นหนี้สินได้ โดยทั่วไปแล้ว ข้าราชการมักจะมีเงินเดือนไม่มากนัก และมักมีภาระค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ในช่วงต้นเดือน ข้าราชการมักจะมีเงินไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้ต้องกู้ยืมเงินจากนอกระบบ หรือก่อหนี้สินเพิ่มเติมในช่วงปลายเดือน ซึ่งจะส่งผลให้มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ข้าราชการมีเงินไว้ใช้จ่ายระหว่างเดือนได้มากขึ้น โดยสามารถแบ่งเงินบางส่วนมาใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เป็นต้น และแบ่งเงินบางส่วนมาเก็บออม หรือใช้จ่ายตามความต้องการ เช่น ค่าเดินทางท่องเที่ยว ค่าซื้อของขวัญ เป็นต้น

นอกจากนี้ การจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง ยังช่วยให้ข้าราชการมีเวลาในการวางแผนการเงินมากขึ้น โดยสามารถวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายประจำ และค่าใช้จ่ายตามความต้องการ เพื่อกำหนดเป้าหมายทางการเงิน และวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ข้าราชการควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย และวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีเงินเดือนมากขึ้นก็ตาม

  • กระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยทำให้ข้าราชการมีรายได้มากขึ้น และนำไปใช้จ่ายในภาคครัวเรือน ช่วยให้กระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดยทำให้ข้าราชการมีรายได้มากขึ้น และนำไปใช้จ่ายในภาคครัวเรือน ดังนี้

เพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ข้าราชการมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน หากมีการจ่ายเงินเดือนเดือนละ 2 ครั้ง ข้าราชการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000 บาทต่อเดือน ทำให้ข้าราชการมีกำลังซื้อมากขึ้น และนำไปใช้จ่ายในภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

กระตุ้นการบริโภค ข้าราชการมักจะใช้จ่ายเงินในภาคครัวเรือน เช่น ใช้จ่ายค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น การจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ข้าราชการมีกำลังซื้อมากขึ้น และนำไปใช้จ่ายในภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจต่างๆ ในภาคครัวเรือน เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก เป็นต้น

กระตุ้นการลงทุน ข้าราชการมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปลงทุนในภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในหุ้น เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม

อย่างไรก็ตาม ผลที่จะเกิดขึ้นจริงนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระดับรายได้ของข้าราชการ พฤติกรรมการใช้จ่ายของข้าราชการ ประสิทธิภาพของระบบการจ่ายเงินเดือนใหม่ และปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม

หากข้าราชการมีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และนำเงินไปใช้จ่ายในภาคเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการจ่ายเงินเดือนข้าราชการเดือนละ 2 ครั้ง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้

ด้านลบ

  • เพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานราชการ เนื่องจากต้องจัดทำเอกสารและระบบการจ่ายเงินเดือนใหม่
    • การเพิ่มเอกสารและระบบการจ่ายเงินเดือน หน่วยงานราชการต้องจัดทำเอกสารและระบบการจ่ายเงินเดือนใหม่ เพื่อรองรับการจ่ายเงินเดือนบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานราชการ และอาจเกิดความผิดพลาดในการจ่ายเงินเดือนได้
    • การเพิ่มความเสี่ยงในการทุจริต การจ่ายเงินเดือนบ่อยครั้งขึ้น อาจทำให้ข้าราชการมีความเสี่ยงในการทุจริตมากขึ้น เนื่องจากสามารถเบิกจ่ายเงินเดือนได้ง่ายขึ้น
    • การเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ หน่วยงานราชการต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น ค่าจัดทำเอกสาร ค่าระบบการจ่ายเงินเดือน เป็นต้น
  • เพิ่มความเสี่ยงในการทุจริต เนื่องจากมีการจ่ายเงินเดือนบ่อยครั้งขึ้น
    • การเบิกจ่ายเงินเดือนซ้ำซ้อน ข้าราชการอาจเบิกจ่ายเงินเดือนซ้ำซ้อน โดยเบิกเงินเดือนในงวดแรกไปแล้ว แต่ยังไม่นำเงินเดือนไปใช้จ่าย หรือเบิกเงินเดือนในงวดที่สอง โดยอ้างว่าลืมเบิกเงินเดือนในงวดแรก
    • การทุจริตเงินเดือน ข้าราชการอาจทุจริตเงินเดือน โดยปลอมแปลงเอกสาร หรือใช้เอกสารปลอมเพื่อเบิกจ่ายเงินเดือน
    • การยักยอกเงินเดือน ข้าราชการอาจยักยอกเงินเดือน โดยนำเงินเดือนไปใช้ส่วนตัวโดยไม่นำเงินเดือนไปใช้จ่าย

            ตัวอย่างกรณีการทุจริตเงินเดือนข้าราชการ เช่น

    • ในปี พ.ศ. 2564 ข้าราชการกรมสรรพากร 2 ราย ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารเพื่อเบิกจ่ายเงินเดือนซ้ำซ้อน มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
    • ในปี พ.ศ. 2565 ข้าราชการกรมการปกครอง 1 ราย ยักยอกเงินเดือน มูลค่ากว่า 1 แสนบาท

            ทั้งนี้ รัฐบาลควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการนี้จะไม่สร้างปัญหาให้กับข้าราชการและประเทศชาติ

  • สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการกับภาคเอกชน เนื่องจากภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังจ่ายเงินเดือนแบบเดือนละ 1 ครั้งสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการกับภาคเอกชน ดังนี้
    • ข้าราชการมีรายได้ถี่ขึ้น ข้าราชการมีรายได้ถี่ขึ้น 2 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับการจ่ายเงินเดือนเดือนละ 1 ครั้ง ทำให้ข้าราชการมีกำลังซื่อและหมุนเวียนเงินมากกว่าพนักงานภาคเอกชนที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ในขณะดเดียวกันกับข้าราชการที่มีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน
    • ข้าราชการมีภาระหนี้สินน้อยกว่า ข้าราชการมีภาระหนี้สินน้อยกว่าพนักงานภาคเอกชน เนื่องจากข้าราชการมีสวัสดิการต่างๆ ที่ครอบคลุม เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น ทำให้ข้าราชการมีเงินเหลือเก็บมากกว่าพนักงานภาคเอกชน
    • ข้าราชการมีความมั่นคงในชีวิตมากกว่า ข้าราชการมีความมั่นคงในชีวิตมากกว่าพนักงานภาคเอกชน เนื่องจากข้าราชการมีสวัสดิการหลังเกษียณอายุ เช่น เงินบำนาญ เงินสงเคราะห์ เป็นต้น ทำให้ข้าราชการมีรายได้หลังเกษียณอายุมากกว่าพนักงานภาคเอกชน

อย่างไรก็ตาม ผลที่จะเกิดขึ้นจริงนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระดับรายได้ของข้าราชการ การบริหารจัดการหนี้สินของข้าราชการ ประสิทธิภาพของระบบการจ่ายเงินเดือนใหม่ และปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับความคิดเห็นของข้าราชการเกี่ยวกับมาตรการนี้ ส่วนใหญ่มองว่าไม่เป็นประโยชน์ เนื่องจากไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง คือ รายได้ที่น้อยเกินไป บางคนมองว่าอาจทำให้ใช้จ่ายมากขึ้น จนกลายเป็นหนี้สินในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ก็มีข้าราชการบางส่วนที่มองว่าเป็นมาตรการที่ดี เนื่องจากช่วยให้มีเงินใช้จ่ายในช่วงต้นเดือนได้มากขึ้น

โดยสรุปแล้ว การจ่ายเงินเดือนข้าราการเดือนละ 2 ครั้ง เป็นการสร้างเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการกับภาคเอกชนนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ยังจะส่งผลส่งผลกระทบโดยรวมดังนี้

  • ลดประสิทธิภาพการทำงาน ข้าราชการมีความมั่นคงในชีวิตมากกว่าพนักงานภาคเอกชน ทำให้ข้าราชการมีแรงจูงใจในการทำงานน้อยลง และอาจนำไปสู่การทำงานที่ล่าช้าหรือขาดประสิทธิภาพ
  • ลดการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจ ข้าราชการมีรายได้และสวัสดิการสูงกว่าพนักงานภาคเอกชน ทำให้พนักงานภาคเอกชนขาดแรงจูงใจในการทำงาน และอาจนำไปสู่การย้ายงานไปยังภาคราชการ ซึ่งจะลดการแข่งขันในภาคเศรษฐกิจ
  • เกิดปัญหาสังคม การสร้างเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการกับภาคเอกชน อาจนำไปสู่ปัญหาสังคม เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม เป็นต้น

รัฐบาลควรพิจารณานโยบายการจ่ายเงินเดือนข้าราชการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับภาคเอกชน และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดยอาจพิจารณาปรับระบบการจ่ายเงินเดือนข้าราชการให้สอดคล้องกับระบบการจ่ายเงินเดือนของภาคเอกชน หรือพิจารณาปรับสวัสดิการข้าราชการให้เท่าเทียมกับสวัสดิการพนักงานภาคเอกชน และมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยที่ข้าราชการไม่ต้องปรับตัวในการบริหารจัดการเงินและรายได้ ให้มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยไม่แบ่งเงินเดือนของข้าราชการออกเป็นส่วนๆ แล้วค่อยๆ หยอด เพื่อให้กลายเป็นเหยื่อของกลุ่มทุน ให้ข้าราการเป็นเหยื่อของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการนำเงินเดือนสร้างกำลังซื้อให้หมุนเวียนเร็วขึ้น โดยที่ข้าราชการไม่เกิดรายได้ ซึ่งบั่นทอนความมั่นคงในชีวิตราขการของข้าราการของตนเอง