In Thailand

269สหกรณ์โคราชหมุนเงิน5.3หมื่นล้าน ดันเกษตรกรแกร่ง/ศก.ท้องถิ่นยั่งยืน



นครราชสีมา – นายอาทร ชัยยันต์ สหกรณ์จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงบทบาทของสหกรณ์ต่อเศรษฐกิจจังหวัดนครราชสีมาว่า ปัจจุบันจังหวัดมีสหกรณ์และกลุ่มสหกรณ์รวมทั้งสิ้น 269 แห่ง ครอบคลุมทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร มีสมาชิกกว่า 450,000 คน หรือกว่า 450,000 ครอบครัว ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดใหญ่และมีระบบเศรษฐกิจที่หลากหลาย

นายอาทรระบุว่า ปัจจุบันสหกรณ์ในจังหวัดมีทุนดำเนินงานรวมกว่า 84,000 ล้านบาท และมีมูลค่าธุรกิจหมุนเวียนต่อปีสูงถึง 53,000 ล้านบาท ครอบคลุมกิจกรรมหลักทั้งด้านการให้สินเชื่อ การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย การรวบรวมผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวเปลือก ข้าวโพด และพืชผลอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด พร้อมกันนี้ยังมีเงินฝากจากสมาชิกมากกว่า 12,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสมาชิกต่อระบบสหกรณ์ในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหกรณ์ยังมีปัญหาหนี้ค้างชำระ (NPL) ประมาณ 3,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นของสหกรณ์ภาคเกษตรและสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยทางสำนักงานสหกรณ์จังหวัดฯ ได้เร่งดำเนินมาตรการฟื้นฟู ปรับโครงสร้างหนี้ และสนับสนุนการบริหารจัดการให้สมาชิกสามารถกลับมาประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง

แหล่งเงินทุนหลักของสหกรณ์มาจาก 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เงินทุนจากสมาชิก (หุ้นและเงินฝาก), เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเงินทุนจากแหล่งภายนอก ซึ่งช่วยให้ระบบสหกรณ์มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลกำไรของสหกรณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ครู จะมีการจ่ายปันผลและเฉลี่ยคืนให้สมาชิกทุกสิ้นปี มูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 4.5 – 5.0 สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป ส่งผลให้สมาชิกถือหุ้นในระบบสหกรณ์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกปัจจุบัน สหกรณ์การเกษตรในหลายพื้นที่ เช่น พิมาย บัวใหญ่ บัวลาย และวังไม้แดง ได้เปิดรับซื้อข้าวเปลือกและผลผลิตจากสมาชิก พร้อมใช้ “กลยุทธ์ราคานำตลาด” เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ราคาข้าวในพื้นที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยบางแห่งยังเข้าร่วมจำหน่ายข้าวสารคุณภาพในงาน “ตลาดเทกระจาดของดีโคราช” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ สหกรณ์หลายแห่งยังได้ขยายกิจกรรมสู่การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย และสินค้าท้องถิ่น เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้เสริมให้สมาชิกในชนบท

นายอาทรกล่าวทิ้งท้ายว่า “หัวใจสำคัญของระบบสหกรณ์คือความเข้มแข็งจากภายใน หากสหกรณ์เข้มแข็ง ก็จะสามารถดูแลสมาชิกได้อย่างครอบคลุม ทั้งในยามปกติและยามวิกฤติ เช่น น้ำท่วมหรือภัยแล้ง ซึ่งหลายสหกรณ์ได้แสดงบทบาทช่วยเหลือสมาชิกอย่างทันท่วงที ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างแท้จริง”

ประสิทธิ์ วนะชกิจ ภาพ/ข่าว