Think In Truth

'รัฐบาลไทย'ควรใส่ใจ...แนวโน้มของโลก โดย : หมาเห่าการเมือง



ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่ติดตาม และอาจจะมองว่า บทความที่ผมเขียนนี้ เป็นบทความที่ยาวจนเกินไป เชื่อมโยงเรื่องราวที่กว้างจนเกินไป ยากที่จะสรุปความให้เข้าใจในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ขอเรียนชี้แจงท่านผู้อ่านอย่างนี้นพครับ ผมพยายามที่จะสรุปประเด็นให้สั้นลง แต่ด้วยเนื้อหาที่เชื่อมโยงมันสลับซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เขียนมาก เพื่อให้เข้าใจโดยรอบ จึงทำให้เนื้อหายาวไปนิดหนึ่ง แต่ก็พยายามที่จะสรุปให้สั้นลงครับ เมื่อให้ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้สมบูรณ์แล้ว จะเขียนสรุปประเด็นให้สั้นลง และชี้เป้าให้ตรง ตอนนั้นท่านผู้อ่านจะสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ

มาเข้าเรื่องของเราเลย ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ที่มีสภาวะของโลกเป็นสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องรับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกประเทศ รวมทั้งกระแส แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง เพื่อการกำหนดแนวทางและแผนปฏิบัติการในการนำพาประเทศไปสู่การความมั่นคงในการยืนอยู่บนเวทีโลก

ทิศทางและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก มีนักวิชาการหลายสำนักได้วิเคราะห์ ด้วยการรวบรวมข้อมูลเพื่อมาสังเคราะห์ให้เกิดแนวความคิดที่มองโลกในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร หรือที่เรียกกันว่า “พยากรณ์ศาสตร์(Predication)” อย่างเช่น หนังสือ Mega Trend ของ John Nice Bizh ซึ่งถือว่าเป็นการนำเสนอทฤษฎีแนวโน้มของโลกที่ได้รับความสนใจมากคนหนึ่ง กล่าวถึงแนวโน้มใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันและในอนาคต หนังสือเล่มนี้แบ่งแนวโน้มใหญ่ออกเป็น 6 หัวข้อหลัก ได้แก่

  • Globalization โลกาภิวัตน์ที่หมายถึงการเชื่อมโยงกันของโลกมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
  • Technology เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิต
  • Demographic การเปลี่ยนแปลงประชากรของโลก เช่น การลดลงของประชากรในบางประเทศ และการเพิ่มจำนวนผู้สูงอายุ
  • Environment ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายโลกในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลภาวะ
  • Social การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมล้ำ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต
  • Politics การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การเพิ่มขึ้นของผู้นำเผด็จการ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มใหญ่เหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของเรา ทั้งในด้านบวกและด้านลบ ผู้ที่เข้าใจแนวโน้มใหญ่เหล่านี้จะสามารถปรับตัวและประสบความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

โลกาภิวัตน์ ทำให้โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่งผลให้เกิดโอกาสใหม่ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงใหม่ๆ เช่นกัน เช่น การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน

  • เทคโนโลยี พัฒนาอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิต เช่น ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการดำเนินชีวิต
  • การเปลี่ยนแปลงประชากร เช่น การลดลงของประชากรในบางประเทศ และการเพิ่มจำนวนผู้สูงอายุ ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
  • ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลภาวะ เป็นภัยคุกคามต่อโลกในปัจจุบันและอนาคต
  • การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมล้ำ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ส่งผลต่อความเท่าเทียมกันและคุณภาพชีวิตของประชาชน
  • การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การเพิ่มขึ้นของผู้นำเผด็จการ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่งผลต่อเสถียรภาพของโลก

เรามักจะมีความเข้าใจกันว่า Megatrends หรือ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่สำคัญนั้นก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องของ การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างประชากร หรือ พัฒนาการของเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล หรือ การให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ข้างต้น (รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Megatrends บอกว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ตัว Megatrends แต่เป็นปัจจัยชี้นำ หรือ ตัวขับเคลื่อนที่นำไปสู่ Megatrends ต่างหาก

องค์กรจะต้องมาพิจารณาว่าจากปัจจัยชี้นำหรือตัวขับเคลื่อนข้างต้น จะส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือ ประชาชนทั่วไปเกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ พฤติกรรม วิธีการตัดสินใจอย่างไรบ้าง และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากปัจจัยชี้นำข้างต้นนั้นเองคือตัว Megatrends

Euromonitor เป็นบริษัทที่เก็บข้อมูลและทำวิจัยตลาดในระดับโลก ได้วิเคราะห์และได้กำหนด Megatrends มากถึง 20 ประการ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต ดังนี้

  • Experience more ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าตัวสินค้า ทำให้การขยายตัวของการบริการ
  • Middle Class retreat การขยายตัวของชนชั้นกลางชะลอตัวลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
  • Premiumization ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง
  • Healthy Living ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น
  • Shifting market frontiers ตลาดโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
  • Ethical living ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
  • Shopping reinvented พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยหันมาซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
  • Connected consumers ผู้บริโภคเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการบริโภค
  • Searching for simplicity ผู้บริโภคมีความต้องการความเรียบง่ายมากขึ้น
  • Generation gaps ความแตกต่างระหว่างคนรุ่นต่างๆ กำลังเพิ่มมากขึ้น
  • Buying time ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะประหยัดเวลามากขึ้น
  • Technological disruption เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตและธุรกิจ
  • Sustainability ผู้บริโภคและธุรกิจให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น
  • Changing demographics ประชากรโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยอัตราการเกิดลดลงและผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้น
  • Geopolitical shifts ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน
  • Climate change การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

Megatrends เหล่านี้มีผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาชน จำเป็นต้องมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียหรือผลกระทบที่รุนแรง

ภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลก ตามทฤษฎี Mega Trend ของ John Naisbitt นั้น เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งด้านเทคโนโลยี สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก รัฐบาลจึงควรมีนโยบายรองรับเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ได้แก่

  • นโยบายด้านเทคโนโลยี รัฐบาลควรส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี นโยบายพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีของประชาชน เป็นต้น
  • นโยบายด้านสังคม รัฐบาลควรส่งเสริมความเท่าเทียมและโอกาสทางสังคม เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองภายในประเทศ เช่น นโยบายส่งเสริมการศึกษาและสวัสดิการสังคม นโยบายส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ เป็นต้น
  • นโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย นโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นต้น
  • นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลควรดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น นโยบายส่งเสริมพลังงานสะอาด นโยบายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น

ที่เอ่ยถึงมาทั้งหมด เป็นเพียงแค่แนวคิด และทฤษฎี ที่รัฐบาลพึงได้ประมวล มาสังเคราะห์ให้เกิดนโยบายที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศในปัจจุบัน และกำหนดวิธีการให้ลงลึกไปจนถึงการนำนโยบายไปใช้ (Policy Implementation) รวมถึงแนวปฏิบัติอย่างัดเจน โดยมีเป้าหมาย มีกรอบเวลาในการดำเนินการ ที่สามารถสื่อสารการเมืองให้สังคมได้เข้าใจตรงกัน และสามารถขับเคลื่อนนโยบายไปด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งภาคประชาชน การบริหารการเมือง จะดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่าย จึงจะนำไปสู่ความสำเร็จของการพัฒนาประเทศ จึงเรียนมาเพื่อทราบและโปรดพิจารณายึดมั่นในหลักการนะครับ