Biz news
KBTG สร้างทีมนักพัฒนาในจีน-เวียดนาม สู่ธนาคารดิจิทัลแห่งภูมิภาค
กรุงเทพฯ-KBTG เดินหน้าเสริมความแข่งแกร่งให้แคแบงก์สู่ธนาคารดิจิทัลแห่งภูมิภาค สร้างทีมนักพัฒนาในจีน เวียดนาม พร้อมลุยโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี และยกระดับการทำงานทีมนักพัฒนาในไทย ประกาศรับใหม่ปีนี้เพิ่มเป็น 1,900 คน พร้อมส่งบริษัทใหม่ลุย DeFi กรุยทางสู่โลกการเงินแบบกระจายศูนย์กลาง
นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป จำกัด หรือ KBTG เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะเข้าสู่จุดหักศอกในปี 2567-2568 ซึ่งเทคโนโลยีจะมีการเทคออฟเร็วขึ้น และจากนั้นในช่วงปี 2571-2573 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังมีโควิดเข้ามาเป็นปัจจัยเร่งที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ทุกคนคาดไว้ ดังนั้น องค์กรที่จะอยู่รอดได้จะต้องปรับตัวให้ทัน
KBTG เป็นองค์กรซึ่งมีภารกิจในการนำเทคโนโลยีสร้างสรรค์บริการดิจิทัล เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารกสิกรไทยเป็นสถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง ก้าวทันความต้องการของลูกค้า และพร้อมรับทุกกระแสความเปลี่ยนแปลง จึงได้เดินหน้าทรานสฟอร์มองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยการทรานสฟอร์มเฟสแรก ช่วงปี 2562-2563 เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนในระดับโครงสร้างองค์กร โดยทำความเข้าใจความต้องการของพนักงานในเชิงลึก (Empathy) มองพนักงานเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการทำพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีให้ทันสมัย ทั้งด้านข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน และแอปพลิเคชันบริการต่าง ๆ ที่มีกว่า 400 รายการ ต่อมาในปี 2563 ได้เกิด Innovation Runway ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่องค์กรใช้ในการสร้างนวักตรรมบริการด้วยการทำงานแบบ Agile และสร้างความพร้อมของทีมงานที่จะทำงานได้จากทุกที่
การทรานสฟอร์มเฟสสอง ช่วงปี 2564-2566 ที่ KBTG จะกลายเป็นองค์กรที่สามารถขับเคลื่อนการทำงานแบบอัตโนมัติในองค์รวม (Holistic Automation) โดยในปี 2564 ทาง KBTG มีการตั้งแผนก DevX ซึ่งเป็นแผนกที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ทำงานที่ดีให้แก่นักพัฒนา มีซอฟท์แวร์รองรับการทำงานของนักพัฒนา ช่วยในขั้นตอนการตรวจสอบความปลอดภัย การรีวิวโค้ด มีระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยทดสอบ แล้วโหลดขึ้นคลาวด์ได้คล่องตัวขึ้น นอกจากนี้ จากการสร้างแพลตฟอร์ม Innovation Runway และความพร้อมด้านบุคลากร Data Scientist พร้อมทั้งฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ KBTG จะพัฒนาสู่การเป็น AI factory สามารถพัฒนาโมเดลได้เร็วขึ้น 12 เท่า จึงสามารถผลิตงานได้ทันความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ KBTG ได้ทำโครงการ Tech Campus ซึ่ง KBTG ร่วมมือกับ 7 สถาบัน ทำ co-research กับสถาบันเหล่านี้เพื่อออกเป็น deep tech innovation ที่จะได้เห็นตลอดทั้งปี
สำหรับการทรานสฟอร์มสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยนีระดับภูมิภาค ปัจจุบัน KBTG มีบริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนภายใต้ชื่อ K Tech ซึ่งจะมีการรับพนักงานด้านเทคโนโลยีเพิ่มอีก 80 คน ส่วนที่เวียดนาม ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจสาขานั้น ทาง KBTG ก็เดินหน้าจัดหาพนักงานด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพกว่า 100 คน เข้ามาร่วมงาน โดยจะต้องจัดทีมที่เวียดนามภายในไตรมาสสามปีนี้ พร้อมขับเคลื่อนเพื่อการแสวงหาเทคโนโลยีและการพัฒนาบริการดิจิทัลแบงกิ้งสำหรับธนาคารกสิกรไทยในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลแบงกิ้งระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ เทรนด์เทคโนโลยีที่ KBTG ได้เริ่มเข้าไปสำรวจและเตรียมความพร้อมแล้วคือ ระบบการเงินที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาจัดการแทนตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน (Decentralized Finance หรือ DeFi) โดย KBTG ได้จัดตั้ง Kubix บริษัทในกลุ่ม KBTG เข้าไปนำร่องการทำ DeFi ด้วยการร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สร้าง ICO Portal ทางเลือกใหม่ในการระดมทุนหรือลงทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล(Digital Asset) ซึ่งการระดมทุนจะดำเนินการโดยการแปลงสินทรัพย์ที่มีอยู่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบโทเคนดิจิทัล แล้วระดมทุนผ่านการทำ Initial Coin Offering หรือ ICO โดยมี ICO Portal เป็นที่ปรึกษาและผู้จัดการเสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่นักลงทุนในตลาดแรก นับเป็นการ decentralize finance แบบที่มีสินทรัพย์รองรับ ซึ่งมีความหมายต่อภาคเศรษฐกิจจริง เป็นทางเลือกให้แก่ธุรกิจในการระดมทุน และเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน สร้างการเข้าถึงทางการเงิน (Financial Inclusion) ทั้งนี้ KBTG เชื่อว่าการเงินที่มีศูนย์กลางโดยสถาบันการเงิน หรือ CenFi และการเงินที่กระจายศูนย์กลาง หรือ DeFi จะสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยผู้ให้บริการที่มีความพร้อมที่สุด
นายเรืองโรจน์ กล่าวตอนท้ายว่า KBTG ตั้งเป้าหมายการเป็น บริษัทเทคโนโลยีแห่งภูมิภาคเต็มรูปแบบ ภายในปี 2566 พร้อมรองรับธนาคารกสิกรไทยที่จะขยายสู่ภูมิภาคด้วยแนวทาง asset light และไปแบบ digital first ด้วยความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพบุคลากร การรีสกิล ทักษะด้านภาษา และวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายปี 2564 จะมีพนักงาน KBTG ทั่วภูมิภาค เพิ่มจาก 1,500 คน เป็น 1,900 คน