In News
นายกฯถกผู้นำฝรั่งเศสดันฟรีวีซ่าเชงเกน นำเอกชนทำเอ็มโอยูด้านพลังงานสะอาด
ฝรั่งเศส-นายกฯ พบ มาครง หารือ ใช้โอกาสฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ผลักดันหยุดยิงชั่วคราวฮามาส - อิสราเอล หวังเห็นเมียนมาเป็นหนึ่งเดียว ดันฟรีวีซ่าเชงเกน เสนอ ไทย-ฝรั่งเศส-กัมพูชา สื่อสารกันใกล้ชิด ก่อนหน้านี้นายกฯ ย้ำ เยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสครั้งนี้ เป็นครึ่งวันที่สุดคุ้มค่า! เซ็นหลาย MOU นำเอกชนทำ Business Matching ในหลายมิติ เช่น พลังงานสะอาด และ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2567) เวลา 15.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยในส่วนการพบกับประธานาธิบดีมาครง ได้พูดคุยหารือกันในประเด็นด้านการต่างประเทศและประเด็นต่างๆ ดังนี้
สำหรับประเด็นฮามาส - อิสราเอล ฝรั่งเศสมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างแข็งขัน ไทยยังคงมีตัวประกันอยู่ ซึ่งยังไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงเห็นใจและพร้อมให้การสนับสนุนให้มีการหยุดยิงชั่วคราว ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงมีไอเดียที่จะใช้โอกาสจากการที่ฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ณ กรุงปารีส ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ Olympic Ceasefire เชื่อว่ากีฬาเป็นสิ่งที่ทำให้ลืมความขัดแย้ง รวมถึงขอให้ประเทศไทยเข้าร่วมสนับสนุน เพื่อแสดงเจตจำนงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อโอลิมปิกในช่วงเวลาดังกล่าว
ประเด็นเรื่องเมียนมา ได้มีการพูดคุยเรื่องความคืบหน้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปร่วมพูดคุยว่าไทยสนับสนุนให้มีการเจรจา เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเมียนมา และเกิดความสงบ ซึ่งทางประธานาธิบดีมาครงพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ
ประธานาธิบดีมาครงยืนยันให้การสนับสนุนไทยอย่างต่อเนื่องในการผลักดันการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเกนสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย ซึ่งอาจจะเดินหน้าดำเนินการได้ช่วงเดือนสิงหาคม หลังการเลือกตั้งสภายุโรปในเดือนมิถุนายน 2567 สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันยังคงไม่เท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันผลักดันการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกัน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีมาครงได้เชิญให้ไทยเข้าร่วมในการประชุมทางด้าน AI ซึ่งฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปี 2568 อีกด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เล่าว่าในช่วงรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับประธานาธิบดีมาครง มีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เช่น ประธาน ปตท. ประธานผู้แทนการค้าไทย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการพูดคุยกันอย่างดีในเชิงลึกเพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศต่อไป และเป้าหมายต่อไปคือจะมีการนำนักธุรกิจจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทยในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
โอกาสนี้ ผู้นำทั้งสองกระชับความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ภริยาของประธานาธิบดีมาครง สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของฝรั่งเศสแวะมาทักทาย และทั้งสองได้แลกเบอร์มือถือและทักทายกันผ่าน Whatsapp อีกด้วย โดยประธานาธิบดีมาครงเผยว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกฯ จึงเสนอให้ผู้นำทั้ง 3 คนตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อที่จะได้สามารถพูดคุยหารือกันได้สะดวกสบาย
“ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 3 - 4 ชั่วโมง แต่นับว่าเป็นการพูดคุยที่ได้ประโยชน์อย่างมาก นอกจากนั้น ในวันเดียวกันนี้งาน Thailand - France Business Forum ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีอีกด้วย ถือว่าเป็นการใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า และเป็นการจบภารกิจที่ฝรั่งเศสอย่างสวยงาม" นายกฯ กล่าวปิดท้าย ก่อนเดินทางต่อไปที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
นายกฯ ย้ำ เยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสครั้งนี้ เป็นครึ่งวันที่สุดคุ้มค่า!
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2567) เวลา 15.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 5 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งมีความคืบหน้าที่เกิดจากการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมีนาคม 2567 โดยนายกรัฐมนตรีได้นำภาคเอกชนไทยมาพูดคุยธุรกิจ เพื่อสานสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องตามสัญญาที่ให้ไว้กับประธานาธิบดีมาครง รวมถึงได้มีการพูดคุยถึงความคืบหน้าทั้งในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ การจัดทำ FTA ไทย - สหภาพยุโรป ซึ่งมีความซับซ้อน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรแยกทำ FTA บางส่วนไปก่อน เพื่อให้มีความก้าวหน้า อาทิ EV เป็นต้น
นอกจากนี้ ระหว่างงาน Thailand - France Business Forum ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ไปกล่าวปาฐกถาเมื่อช่วงเช้านี้ ได้มีการลงนามในความตกลงร่วมกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น การผลิตเชื้อเพลิงพลังงานสะอาดแบบยั่งยืน (sustainable aviation fuel: SAF) ซึ่งถือเป็นเรื่องสําคัญที่มีการพูดคุยกันในหลายวงที่จะมีการยกระดับความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างทั้งสองประเทศ โดยงานดังกล่าวมีภาคธุรกิจรายใหญ่ในหลายสาขาสำคัญเข้าร่วมจำนวนมาก ถือว่าได้ประโยชน์อย่างมากสําหรับการมาเยือนเพียงครึ่งวัน
ในการลงนามในความตกลงด้านกลาโหม อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งทางฝรั่งเศสมีข้อเสนอให้ไทยในหลายส่วน ทั้งเครื่องบิน รถถัง โดรน และความมั่นคงทางไซเบอร์ ซึ่งพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็ได้มาร่วมพูดคุย โดยในภาพใหญ่มีการวางแผนพัฒนากองทัพ ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งได้มีการพูดคุยว่าฝรั่งเศสสามารถช่วยพัฒนากองทัพไทยได้ในส่วนไหนบ้าง รวมถึงในเรื่องการซ้อมรบ
ในเรื่องของพลังงานสะอาดนั้น ฝรั่งเศสมีความเชี่ยวชาญ และมีพลังงานสะอาดใช้จำนวนมาก ซึ่งไทยอยากให้ฝรั่งเศสเป็นแม่แบบในการพัฒนาแบบแผนพลังงานของไทย ซึ่งจะพูดคุยกันอีกครั้งในการประชุม Thailand - France Business Forum ครั้งต่อไป ในเดือนกันยายน ที่ประเทศไทย ทางฝรั่งเศสจะนำหน่วยงานด้านพลังงานสะอาดที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงด้านพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งฝรั่งเศสสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย ราคาถูก และสะอาด
“ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีมาครง 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งนับว่าเป็นการพูดคุยที่ได้ประโยชน์อย่างมาก นอกจากนั้น ในวันเดียวกันนี้งาน Thailand - France Business Forum ยังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีอีกด้วย ถือว่าเป็นการใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า และเป็นการจบภารกิจที่ฝรั่งเศสอย่างสวยงาม” นายกฯ กล่าวปิดท้าย ก่อนเดินทางต่อไปที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี