Biz news

เดอะวิสดอมกสิกรไทยระวังจุดหักศอกโลก ในสัมมนาWealth Decoded



กรุงเทพฯ-เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดงานสัมมนาเกาะติดสถานการณ์ทั่วโลกที่ส่งผลต่อการเงินและการลงทุน “THE WISDOM Wealth Decoded: Tech Trend Talk” โดยนายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่ม บริษัทกสิกรบิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) นำเสนอมุมมองต่อเมกะเทรนด์เทคโนโลยีที่สร้างโอกาสเติบโตให้อุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก จับตามอง ค.ศ. 2030 เป็นต้นไป จะเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายมิติ พร้อมแนะกองทุนเกาะเทรนด์การเติบโตโลก

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงแบบหักศอก

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัทกสิกรบิซิเนส-เทคโนโลยีกรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 2024-2025 เป็นจุดหักศอกแรก ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไหนสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และเมื่อเข้าสู่ช่วงปี ค.ศ. 2028-2030 จะเป็นจุดหักศอกที่สอง ที่โลกจะอยู่ในช่วงที่บางคนอาจตามไม่ทันแล้ว จึงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงและ Reskill ของคน เพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาถึง และโลกในปลายทศวรรษนี้ ช่วงปี ค.ศ. 2030-2035 โลกจะค่อยๆ เริ่มเห็นเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดความสามารถแบบทวีคูณและเติบโตแบบก้าวกระโดด ที่เริ่มเป็นไปได้และนำมาใช้งานได้จริง

“ผมมองว่า สิ่งสำคัญสำหรับเจนเนอเรชันต่อไปคือ การศึกษาโดยใช้ศักยภาพของ AI ที่จะเปลี่ยนโลกการเรียนรู้ มีความรู้มากมายมหาศาลที่จะทำให้เด็กๆ เข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อย่างที่บิล เกสต์ แนะนำและให้การสนับสนุน Khan Academy แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ระดับโลก ล่าสุด ไมโครซอฟท์ร่วมมือด้าน AI กับ Khan Academy โดยได้พัฒนาผู้ช่วยสอนที่ขับเคลื่อนด้วย Khanmigo AI ให้กับนักการศึกษาระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษา (K-12) ทุกคนในสหรัฐอเมริกาได้ใช้ฟรี ช่วยประหยัดเวลาในการสอน และเปิดโอกาสให้ครูได้ใช้เวลาวางแผนการเรียนรู้กับนักเรียนมากขึ้น”

AI เทคโนโลยีที่ดิสรัปชีวิตมนุษย์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจมองว่า AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายส่วน โดยเฉพาะ Generative AI จนเกิดความกังวลว่า AI อาจจะเข้ามาแทนที่การทำงานของมนุษย์ได้ทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพและยั่งยืนที่สุดคือการที่ “มนุษย์” กับ “AI” ทำงานร่วมกัน หรือการใช้ AI ยกระดับการทำงานและความสามารถของมนุษย์

ในด้านการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของ AI นายเรืองโรจน์ ให้ความคิดเห็นว่า “AI กำลังจะเป็น General Purpose Technology เหมือนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ AI จะฉลาดและพัฒนาไปแบบทวีคูณ หุ่นยนต์ AI จะมีประสิทธิภาพการคิด ประมวลผล ได้ดีมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญมีความใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่า การเข้ามาของ AI ช่วยเสริมสร้างให้ความโปรดักทีฟของพนักงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น สตาร์ตอัปที่เกิดขึ้นใหม่มากมายนำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ทางธุรกิจ ในอนาคต แค่หนึ่งคนก็สามารถเป็นสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์นได้แล้ว โดย AI จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจโลก”

5 เทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนโลก

ในวันที่โลกของเรากำลังถูกท้าทายจากหลายมิติ ทำให้มีการเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้ใช้ได้จริงและเร็วที่สุด และเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนผ่าน โดยมีหมุดหมายสำคัญที่ปี ค.ศ. 2030 นายเรืองโรจน์เห็นว่า เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญและสร้างโอกาสทางธุรกิจ มี 5 เทคโนโลยี ได้แก่ 

1.Augmented Reality (AR) พัฒนาการของ AI กับชิป ทำให้ประมวลข้อมูลได้เยอะและเร็วขึ้น

2.Quantum Computing ประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้เร็วขึ้น พลิกโฉมหลายอุตสาหกรรม

3.BioTech ยืดอายุมนุษย์ เพิ่มประสิทธิภาพทางการแพทย์ เช่น การพิมพ์อวัยวะเทียม

4.Autonomous Mobility เทคโนโลยียานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เช่น รถยนต์ไร้คนขับ และ

5.ClimateTech รับมือภาวะโลกร้อนด้วยการผลิตพลังงานสะอาด การจัดการขยะ และการเพิ่ม พื้นที่ป่า

“โอกาส” จาก The 5Ds ขับเคลื่อนภูมิทัศน์โลก

นายเรืองโรจน์ ให้มุมมองถึงการจับตาสถานการณ์ต่างๆ ทั่วโลกที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดเมกะเทรนด์ โดยมี 5 ความเคลื่อนไหวของโลกที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนทั่วโลก ได้แก่  

1. Demographics ประชากรโลกอายุยืนขึ้น อัตราการเกิดต่ำ เกิดเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)

2. Decarbonization ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ที่โลกกำลังเผชิญโลก และหลายประเทศเริ่มเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัวกับกฎหมาย ข้อกำหนดใหม่

3. Digitalization ทุกกระบวนการของธุรกิจใช้เทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

4. Decoupling ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมหาอำนาจโลกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก และนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตเพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจของประเทศ

5. Deleveraging ระดับการเป็นหนี้ และความจำเป็นในการลดหนี้ที่อยู่ในระดับสูง

2 กองทุนเกาะเทรนด์การเติบโตโลก แนะนำโดย K WEALTH*

เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีโอกาสได้รับปัจจัยบวกจากเทรนด์นี้

1.  กองทุน K-GHEALTH ลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds- Global Healthcare Fund-Class A (acc) USD ซึ่งปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย ได้ผนึกกำลังกับ J.P. Morgan Asset Management เป็นพันธมิตรในการบริหารกองทุน โดยกองทุน K-GHEALTH มีนโยบายการลงทุน เน้นหุ้นเติบโตสูง เช่น หุ้นในกลุ่ม Biotech และ MedTech และเน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานราคาผันแปรตามเศรษฐกิจโลกน้อย

2. กองทุน K-GTECH ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก เน้นหุ้นเติบโตสูง ผ่านกองทุนหลัก Threadneedle (Lux) Global Technology, Class IU USD ซึ่งกองทุน K-GTECH มีโอกาสเติบโตจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1)  อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเทคโนโลยี

2)  เทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น เทคโนโลยี 5G, รถยนต์ EV, เทคโนโลยี AI เป็นต้น

3)  บริษัทเทคโนโลยีเร่งคุมต้นทุนในช่วงที่ผ่านมา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีความแข็งแกร่ง ในระยะยาว

*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน