Biz news

พฤกษาปรับทัพเสริมแกร่งธุรกิจในเครือ มุ่งเป้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง



กรุงเทพฯ-“พฤกษา โฮลดิ้ง” ประกาศจัดทัพผู้บริหารระดับสูง เสริมแกร่งกลุ่มธุรกิจในเครือ แต่งตั้งผู้บริหารสูงสุด 4 ตำแหน่ง ตั้งเป้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของทุกกลุ่มธุรกิจ โดย “ปิยะ ประยงค์” ขึ้นเป็นซีอีโอ อินโน โฮม “ธีระ ทองวิไล” ขึ้นเป็นซีอีโอ พฤกษา เรียลเอสเตท “สุรวีย์ ชัยธำรงค์กูล” ขึ้นเป็นซีอีโอ วิมุต โฮลดิ้ง และ “พรเทพ ศุภธราธาร” ควบตำแหน่งกรุ๊ปซีซีโอ พฤกษา โฮลดิ้ง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะสร้างความคล่องตัวของแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถบริหารจัดการ และมีอิสระในการวางแผนงานของตัวเองได้อย่างเต็มรูปแบบ มุ่งสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายธุรกิจ และวิสัยทัศน์องค์กรส่งมอบคุณค่าการอยู่อาศัย “อยู่ดี มีสุข” ที่วางไว้

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างองค์กรและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ตามรายละเอียดต่อไปนี้

1. “นายปิยะ ประยงค์”  จะเข้าดำรงตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น จำกัด” รับภารกิจสำคัญในการเป็นหัวเรือใหญ่ นำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในวงการก่อสร้างที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี มาต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มีมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนอยู่ที่ราวมากกว่า 3 แสนล้านบาท  บริษัทฯ จึงได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดนี้

โดยในช่วงปีที่ผ่านมา “ปิยะ ประยงค์” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันการสร้างบ้านด้วยระบบใหม่ที่เน้นการลดขยะให้เหลือศูนย์  (Zero Waste Construction) การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผู้รับเหมา รวมไปถึงการพัฒนาบ้านประหยัดพลังงานตามแนวคิดแบบ “Passive Home” ให้ได้ตามมาตรฐานใหม่ตามเกณฑ์การประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย หรือ Tree Certified Home เพื่อผลักดันสู่ก้าวต่อไปของการสร้าง Carbon Neutral Home และมุ่งสู่มาตรฐานใหม่แห่งห่วงโซ่การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement Supply Chain) ซึ่งถือเป็นแแผนงานหลักสำคัญต่อการสร้างการเติบโต

ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งนำความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนพรีคาสท์ และการก่อสร้างบ้านสำเร็จรูปแบบโมดูลาร์มาใช้ เพื่อนำข้อดีจากความสำเร็จที่ผ่านมาผนวกรวมเพื่อสร้างและวางรากฐานที่แข็งแกร่ง ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจก่อสร้างสูงสุด  ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นยุทธศาสตร์หลักของกลุ่มพฤกษาในระยะยาว ที่ต้องการสร้างสรรค์การอยู่อาศัยแบบ “Live well Stay well อยู่ดี มีสุข”  พร้อมมุ่งสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง 

2.“นายธีระ ทองวิไล” จะเข้าดำรงตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)” รับภารกิจในการกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจ สานต่อและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเรียลเอสเตท ซึ่งเป็นธุรกิจหลักตามกลยุทธ์ Strengthen the core ของบริษัทที่วางไว้  โดย “ธีระ ทองวิไล” เป็นผู้บริหารที่ได้ร่วมงานกับพฤกษามานานกว่า 23 ปี เป็นผู้ต่อยอดพัฒนาแนวคิด “Better Home and Healthier Community”  วิถีการอยู่อาศัยในสังคมแบ่งปัน โดยมีพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกคนได้แบ่งสันปันส่วน เกิดวิถีชีวิตแบบเกื้อกูลในชุมชนสุขภาพดี

และในปีนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเปิดโครงการใหม่รวม 30 โครงการ  มูลค่าราว 29,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% และมีแผนเปิดโครงการ Wellness Residence ทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของมูลค่าโครงการที่เปิดในปีนี้  ตอบโจทย์ความต้องการการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเข้ามาผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHaus มาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล สร้างมาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัย เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก

3.“นางสาวสุรวีย์ ชัยธำรงค์กูล” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จะเข้าดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด อีกหนึ่งตำแหน่ง รับภารกิจในการขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ในระยะยาว และต่อยอดความร่วมมือของทั้งกลุ่ม ในด้าน Wellness Residence ส่งเสริมการบริการด้านสุขภาพให้เข้าถึงลูกบ้านทุกหมู่บ้านของพฤกษา

โดย “สุรวีย์ ชัยธำรงค์กูล” มากด้วยประสบการณ์ ด้านการเงินการลงทุนตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี และประสบการณ์ด้านเฮลท์แคร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้ผลักดันบริษัทร่วมทุนและพันธมิตรเข้าร่วมลงทุนให้กลุ่มพฤกษามีความพร้อมสู่การเติบโต การเข้าดำรงตำแหน่งครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม จากปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มวิมุตมีความโดดเด่นทั้งในด้านการรักษาแบบองค์รวม ทีมแพทย์และพยาบาล และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของโรงพยาบาลวิมุตในด้านประสาทวิทยา ระบบทางเดินอาหารและตับ ด้านหัวใจและหลอดเลือด และความเป็นผู้นำของโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ในด้านการรักษาโรคเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ โดยแม่ทัพคนใหม่จะเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างการเติบโตอีกขั้นจากภายนอก (Inorganic Growth) นำทีมแพทย์และผู้บริหารกลุ่มโรงพยาบาลมุ่งสู่เป้าหมายการสร้างรายได้ 4,000 ล้านบาท และสร้างมูลค่าเพิ่มของทั้งกลุ่มในอนาคต

4“นายพรเทพ ศุภธราธาร” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด จะเข้าดำรงตำแหน่ง  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักบริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) อีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานสนับสนุน ได้แก่ สายงานจัดซื้อจัดจ้าง สายงานกฎหมาย สายงานดิจิทัลและนวัตกรรมกลุ่ม สายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ ลดกระบวนการทำงานภายใต้แนวคิด “Lean Process” ระดมความคิดในการระบุขั้นตอนการทำงาน ปัญหาและอุปสรรค ประเมิน และหลีกเลี่ยงความสูญเสียในองค์กร (Waste Walk) เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันเพื่อสร้างศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศ (Center of Excellence) และส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มไปพร้อมกัน

โดย “พรเทพ ศุภธราธาร” เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ที่ได้บริหารงานตามหลัก ESG และทำให้บริษัทฯ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ไปได้ 10,190 ตัน ในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งลดระยะเวลาการทำงานของฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างได้กว่า 16,000 วันทำงาน (man-day) ต่อปี จากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ในระบบจัดซื้อจัดจ้างในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาด้วย

สำหรับการแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนการวางแผนผู้สืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning) ที่มีความสำคัญในระยะยาว ที่ได้ผ่านแผนพัฒนาผู้นำ (Leadership Program) และได้เข้าร่วมในโปรแกรมบ่มเพาะผู้นำ ผ่าน Accelerate Impact with Pruksa ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญผลักดันบุคลากรภายในให้เติบโต เชื่อมั่นว่าการแต่งตั้งตำแหน่งผู้บริหารของแต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะเป็นการวางรากฐานธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการสร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจที่หลากหลาย และส่งเสริมงานด้านสังคมอย่างต่อเนื่องต่อไป