Authority & Harm

ศาลยธ.ย้ำคำสั่งให้อธิบดีผู้พิพากษาศาล ไปช่วยงานชั่วคราวเป็นไปตามพ.ร.บ.ฯ



กรุงเทพฯ-โฆษกศาลยุติธรรม ย้ำคำสั่งให้อธิบดีผู้พิพากษาศาล ไปช่วยงานชั่วคราวตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีการะหว่างตรวจสอบข้อร้องเรียน เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ฯ ห้ามสั่งช่วยต่ำกว่าชั้นตำแหน่งเดิม

วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงกรณีสื่อมวลชนแห่งหนึ่งนำเสนอปัญหาการมีคำสั่งให้โยกย้ายอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นแห่งหนึ่งไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีการะหว่างที่มีการตรวจสอบข้อร้องเรียนในทำนองว่าคำสั่งดังกล่าว
ไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องและบางกระแสมีข่าวด้วยว่าเป็นการสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ประจำสำนักประธานศาลฎีกานั้น

ขอยืนยันว่าการมีคำสั่งช่วยทำงานชั่วคราวดังกล่าว ระบุชัดเจนว่าให้ไปทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาไม่ได้เป็นการมีคำสั่งให้ไปช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาประจำสำนักประธานศาลฎีกาแต่อย่างใด เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้เป็นตำแหน่งที่มีอยู่ตามกฎหมายและระเบียบของศาลยุติธรรม

การมีคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาในกรณีข้างต้นเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายแล้ว โดยปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราวในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการศาลยุติธรรมในตำแหน่งข้าราชการตุลาการที่ไม่ต่ำกว่าตำแหน่งที่ผู้นั้นดำรงอยู่ได้...” และตามวรรคสองกำหนดให้ในกรณีที่มีการสั่งให้ช่วยราชการในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ให้นำเรื่องเข้าขอ
ความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ในการประชุมนัดแรกนับแต่วันที่มีคำสั่ง

ในกรณีนี้ ผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวเป็นผู้ที่ได้รับเงินเดือนในชั้น 4 ชั้นสูงสุด ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ดังนั้นการมีคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวจึงทำได้เฉพาะการให้ไปช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งไม่ต่ำกว่าชั้นเงินเดือนดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันโดยผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวนั้นเป็นผู้ที่ก.ต. ได้เคยมีมติเห็นชอบความเหมาะสมให้อยู่ในเกณฑ์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาและได้รับเงินเดือนในชั้น 4 ชั้นสูงสุดแล้วตั้งแต่การประชุมครั้งที่ 18/2566 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่มีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวไปช่วยทำงานชั่วคราวแล้วต่อมาเมื่อวันที่8กรกฎาคม 2567ได้มีการเสนอคำสั่งให้ก.ต. พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 17/2567 เพื่อให้ความเห็นชอบตามที่มาตรา 21 วรรคสองกำหนดแล้ว และ ก.ต. มีมติเอกฉันท์เห็นชอบกับคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาด้วยเหตุนี้การมีคำสั่งให้ไปช่วยทำงานชั่วคราวในกรณีนี้จึงเป็นไปโดยถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดทั้งการดำเนินการดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวปฏิบัติและระเบียบแบบแผนที่ผู้รับผิดชอบราชการศาลยุติธรรมใช้ในการบริหารราชการศาลยุติธรรมตลอดมา