In News

ภาวะเศรษฐกิจการคลังในเดือนก.ค.2567 ท่องเที่ยว-ส่งออกดึงศก./ลงทุนเฝ้าจับตา



กรุงเทพฯ-สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค.2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องและส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

“สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีสัญญาณดีขึ้นจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนที่กลับมาขยายตัวได้ดี แต่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ยังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เช่นเดียวกับปริมาณจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์”

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม2567 ว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีสัญญาณดีขึ้นจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนที่กลับมาขยายตัวได้ดี แต่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ยังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เช่นเดียวกับปริมาณจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า: โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนกรกฎาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.4  และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.1 ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และปริมาณจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -9.7 และ -3.7 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 10.1 และ 0.7 ตามลำดับ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 58.9 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น  อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนกรกฎาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 5.0

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า: โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนกรกฎาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 13.8 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 16.9 ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -12.0 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 13.4 สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2567 ขยายตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 0.7 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 5.7 ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนกรกฎาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 7.1 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 18.0

มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 25,720.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 15.2 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 9.3 เนื่องจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 82.6 34.1 และ 27.8 ตามลำดับ นอกจากนี้ สินค้ายางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และข้าว ขยายตัวร้อยละ 55.4 26.6 20.4 และ 15.6 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำตาลทราย และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ อาเซียน (9) และจีน ขยายตัวร้อยละ  36.0 26.3 18.6 และ 9.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดตะวันออกกลาง และทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ -3.7 และ -2.8 ตามลำดับ

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.10 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 24.6 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 1.6 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ สปป. ลาว ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนกรกฎาคม 2567 จำนวน 22.0 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 11.1 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 3.4 ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -1.4 ตามการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ยางพารา และมันสำปะหลัง

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 89.3 จากระดับ 87.2 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและยา อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อผู้บริโภคยังอ่อนแอจากปัญหาหนี้สินที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 0.83 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.52 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 63.5 ต่อ GDP1 ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 230.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ