In News

นายกฯคิกออฟโอนเงินหมื่นดิจิทัลงวดแรก 1.45แสนล.ให้ผู้มีบัตรคนจน-บัตรผู้พิการ



กรุงเทพฯ-นายกฯ “แพทองธาร” Kick Off โอนเงิน 10,000 ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ ย้ำเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อสร้างโอกาส สร้างความหวัง ให้ประชาชนมีกิน มีใช้

วันนี้ (25 กันยายน 2567) 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนเข้าร่วม



นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังมานานหลายปี ไม่ใช่เพียงแค่จากปัจจัยภายใน แต่ยังมีผลจากเศรษฐกิจทั้งโลกที่ฟื้นตัวช้า ซ้ำเติมด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค และยังไม่รวมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลายปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้เศรษฐกิจไทยฝืดเคือง ไม่สามารถที่จะเพิ่มการลงทุนได้ จะเห็นได้ชัดว่า การลงทุนใหม่ ๆ ของเราก็หายไปในระบบ เงินไม่หมุนเวียน ทำให้การลงทุนน้อยลง  อุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาลงทุนในประเทศไทยน้อยลง  ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สุด คือ กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้พิการ ในอนาคต ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจทั้งระบบ  ทำให้เศรษฐกิจต้องมีความพร้อมต่อการลงทุน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ รัฐบาลจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงและหารายได้อย่างยั่งยืน 



นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเน้นย้ำตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา 1 ปี ได้เน้นย้ำนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตที่พัฒนาได้มากขึ้น แต่นโยบายหลายนโยบายอาจจะต้องใช้เวลา บางเรื่องหลายเดือน บางเรื่องต้องใช้เวลาหลายปี ต้องอาศัยเสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพื่อที่จะให้นโยบายมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือ ‘ความท้าทาย’ ที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นโอกาส และความหวังเพื่อประชาชน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ หลายโครงการได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว สานต่อมายังรัฐบาลนี้ในวันนี้ และมีแผนที่จะทำต่อในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้เกษตรกร การลดดอกเบี้ย ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ

นายกรัฐมนตรีระบุ วันนี้ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552.40 ล้านบาท  สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ลูกแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้ประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน   นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะถึงมือประชาชนกลุ่มเปราะบาง จำนวน 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน  ทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้รับเงินในวิธีการเดิม

“ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขในการใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือประชาชนมากที่สุดค่ะ ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือพี่น้องประชาชนภายใน 4 วัน โดยเริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก” นโยบายนี้จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนาเพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ให้พี่น้อง มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นจำนวนที่จะทำให้ประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ และเป็นเงินจำนวนที่มากพอเมื่อรวมกันหลายคน สามารถนำไปลงทุนค้าขาย ต่อยอดธุรกิจ พร้อมรับโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามา รัฐบาลเชื่อในศักยภาพของพี่น้องคนไทย เมื่อมีโอกาสมาถึงมือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงพี่น้องหลายคนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ผ่านนโยบายนี้ได้อีกทางหนึ่ง

“รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ เช่น การให้เงินช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ การชำระค่าไฟ เป็นต้น ประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและตรวจสอบข้อมูลได้ที่ทุกช่องทางของกระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม สร้างความเท่าเทียมทางโอกาส เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีอีกครั้ง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้วิดีโอคอลไปยังตัวแทนผู้ได้รับเงิน 10,000 บาท จากจังหวัดเชียงใหม่ สมุทรสาคร มุกดาหาร และจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนายกฯ ได้สอบถามพร้อมแสดงกล่าวความยินดีกับผู้ที่ได้รับเงิน ขอให้นำเงินที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ตัวแทนชาวบ้านได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ที่ได้ผลักดันโครงการฯ ทำให้ประชาชนได้รับเงิน 10,000 บาท โดยจะนำเงินที่ได้รับไปใช้ซื้อของอุปโภค บริโภค และของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน รวมถึงนำเงินไปเป็นทุนต่อยอดการค้าขายต่อไป

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เฟส 1 กำหนดแจกกลุ่มเปราะบาง 14.55 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีอยู่กว่า 12.4 ล้านคน และผู้พิการ กว่า 2.15 ล้านคน รวมเป็นงบประมาณที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท โดยจะแจกเป็นเงินสด จำนวน 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีผ่านช่องทางที่กำหนด ทั้งระบบพร้อมเพย์ผ่านหมายเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีเงินฝากที่แจ้งความประสงค์ไว้ หรือช่องทางการรับเงินเบี้ยคนพิการ ตามที่ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ โดย กรมบัญชีกลาง กำหนดโอนเงินในวันที่ 25 - 27 และ 30 กันยายนนี้ แบ่งการโอนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ วันที่ 25 กันยายน 2567 โอนเงินให้คนพิการ พร้อมกันทั้ง 2.15 ล้านคน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 ประมาณ 1.13 ล้านคน วันที่ 26 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 1-3 ประมาณ 4.51 ล้านคน วันที่ 27 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 4-7 ประมาณ 4.51 ล้านคน และวันที่ 30 กันยายน 2567 เลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 8-9 ประมาณ 2.26 ล้านคน

รายละเอียดของโครงการ : 

ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับเงินในวันที่ 25 - 30 กันยายน 2567 นี้ สามารถตรวจสอบผลการจ่ายเงินจากรัฐบาลได้จากแอปพลิเคชันธนาคาร ตรวจสอบจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หรือสอบถาม ณ ธนาคาร นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบผลด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของรัฐในวันถัดไปหลังจากวันที่รัฐจ่ายเงิน ได้แก่
1. เว็บไซต์ https://โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ2567.cgd.go.th
2. เว็บไซต์ https://govwelfare.cgd.go.th
3. แอปพลิเคชัน "รัฐจ่าย"
4. แอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"
5. Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 0 2270 6400 ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า สำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับเงินหรือรัฐจ่ายเงินไม่สำเร็จในรอบนี้ รัฐจะมีการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) อีกจำนวน 3 ครั้ง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนและตรวจสอบบัญชีเงินฝากธนาคารให้มีสถานะปกติ (Active) เพื่อให้พร้อมรับเงินตามโครงการฯ ในรอบการ Retry และสำหรับคนพิการที่บัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ หรือผู้ได้รับเงินเบี้ยความพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการ จะต้องดำเนินการต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการหรือทำบัตรประจำตัวคนพิการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ดังนี้

รอบจ่ายซ้ำ     จ่ายเงินภายในวันที่           ทำบัตรหรือต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการภายในวันที่     ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนภายในวันที่
ครั้งที่ 1         22 ตุลาคม 2567              10 ตุลาคม 2567                                                       18 ตุลาคม 2567
ครั้งที่ 2         22 พฤศจิกายน 2567        12 พฤศจิกายน 2567                                                18 พฤศจิกายน 2567
ครั้งที่ 3         22 ธันวาคม 2567             3 ธันวาคม 2567                                                       16 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ  

ช่องทางติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
1. คนพิการ
   1.1 เว็บไซต์ https://govwelfare.dep.go.th/check
   1.2 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  
   1.3 Call Center กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2354 3388 ต่อ 701 - 702 (หน่วยงานออกบัตรประจำตัวคนพิการ) หรือศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
   1.4 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่คนพิการรับเงินเบี้ยความพิการ ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์

2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
    2.1 ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2109 2345 ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 - 17.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
   2.2 ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ โทรศัพท์หมายเลข 0 2109 2345  กด 1 กด 5 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง