Think In Truth

'สยาม' ลบได้ ... แต่ไม่หายไปจากโลก  โดย: ฟอนต์ สีดำ



จากคลิปของยูทูปเบอร์ไทยในช่องทัวร์ลง https://www.youtube.com/watch?v=INrZ7XNEB_s ได้นำเสนอเรื่องราวของไกด์ชาวกัมพูชา ได้นำนักท่องเที่ยวเข้าชมนิทรรศการ ศิลปะเอเซียที่แสดง ซึ่งพระพุทธรูป เศียรพระพุทธรูป และนครวัดจำลอง ที่พิพิธภัณฑ์ Guimet ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้นำเสนอเรื่องราวอย่างน่าภาคภูมิใจที่กัมพูชามีอริยธรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นตัวของตัวเอง เป็นรากเหง้าแห่งอริยธรรมในเอเชียตัวนออกเฉียงใต้ และเมื่อมาถึงแผ่นรูปปั้นจำลองนครวัด เขาได้นำเสนอถึงความภาคภูมิในศิลปะบายน ที่รังสรรค์ขึ้นโดยชาวกัมพูชา แต่เมื่ออ่านดูป้าย จึงพบว่านครวัดหรือ Angor ถูกสร้างโดยชาวสยาม ที่มีอำนาจปกครองพื้นที่ในช่วง พ.ศ. 1899 ซึ่งนั่นจึงเป็นประเด็นความคิดว่า “สยาม” น่าจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยถูกทำลาย และพยายามลบชื่อ “อาณาจักรสยาม” ออกจากสาระบบของประวัติศาสตร์ ในยุคล่าอาณานิคม เพื่อสร้างความเชื่อว่า ดินแดนเอเชียอาคเณย์ เป็นดินแดนที่ล้าสมัย ไม่มีระบบการปกครอง เพื่อความชอบธรรมในการครอบครองแผ่นดินของนักล่าอาณานิคมอย่างประเทศฝรั่งเศส และอังกฤษ

“สยาม ยังอยู่ยั้งยืนยง” นั่นเป็นความฉลาดอันล้ำลึกที่บรรพชนของคนไทยหรือชาวสยาม ที่พยายามที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความเป็นสยาม เพราะการรุกรานจากการล่าเมืองขึ้น หรืออาณานิคมในยุคก่อนพุทธกาลก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ ในพระสูตรด้วยเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะต้องแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพราะกรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองขนาดเล็ก ที่ต้องเผชิญกับการรุกรานของเมืองใหญ่อย่างเมืองราชคฤห์ เมืองพาราณสี และเมืองอื่นๆ ที่มีกองกำลังเหนือกว่า การพบหนทางพ้นทุกข์เกี่ยวกับวัฏสงสาร คือทางสายกลาง ที่สร้างความเป็นมิตร ด้วยการสร้างกระบวนการทางปัญญาด้วยไตรสิกขา ภายใต้กระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยแนวทางอริยสัจ เพื่อสร้างมนุษย์มีอัตรลักษณ์แห่งวิหารที่พระพรหมทรงสถิตย์ คือพรหมวิหารสี่

จากบทความ วิสาขบูชา'วันที่ชี้ว่าพุทธศาสนาอุบัติขึ้น ณ ที่ใด" https://innews.news/news.php?n=59068 ชี้ให้เห็นชัดว่า พระพุทธเจ้ามีถิ่นกำเนิดที่ประเทศไทย และมีพระบรมชนกนาม “พระเจ้าสุโทธนะ” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าที่มีข้าวเหนียวเป็นสมบัติ” ยิ่งชี้ชัดว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในดินแดนที่นับถือศาสนาผี ซึ่งบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก หรือจะชี้แบบประมาณตรงๆ คือพระพุทธเจ้ามีชาติกำเนิดเป็นคนอีสาน ของประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่อินเดียแน่นอน ด้วยดินแดนลุ่มน้ำโขงหรือที่ราบสูงแอ่งสกลนคร เป็นแคว้นที่มีอิทธิพลทางการสู้รบต่อกว่าล้านนา ล้านช้าง เมืองเสมา เมืองโคกขันธ์ และเมืองอื่นๆ แน่นอน แนวคิดแห่งการเอาตัวรอดทางสงครามด้วยเส้นทางสายกลาง เป็นสิ่งที่เกิดการค้นพบที่สำคัญของเจ้าชายสิทธัตถะ เพื่อที่จะสร้างอัตลักของคนในสังคมให้เป็นวิหารแห่งพรหม คือ มีคุณลักษณะตามหลักของพรหมวิหาร ด้วยวิธีทางการศึกษาตามหลักไตรสิกขา ภายใต้กระบวนการแสวงหาความรู้ และปัญญาด้วยกระบวนการทางอริยะสัจ หากเมืองไดที่เห็นพร้องแล้ว หรือเชื่อถือแล้วศรัทธาแล้ว เขาก็จะเรียกเมืองนั้นว่า เป็น “ไทยเดียวกัน” หรือเป็นพวกเดียวกัน “ชาวไท , ชาวไต” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศไทย

นัยยะแห่งความเป็นสยามก่อนสมัยพุทธกาล ด้วยความพยายามที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความเป็นสยาม นอกจากจะปลูกฝังด้วยวิถีชีวิต ที่เป็นวัฒนธรรมแล้ว ยังคงระบุถึงความเป็นสยามในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าคน เช่น เสียมกุก เสียมเรียบ ฉาน(ซาน) เป็นต้น ปลูกฝังในชื่อของสัตว์น้ำ เช่น ปลาเซียม (ปลาเนื้ออ่อน)ซึ่งปลาเซียมจะมีสองชนิด คือปลาชะโอน ที่มีผิวสีหนังเป็นลายจุด คล้ายกับลายสักลงอักขระของขอมหรือชายไทยโบราณ และปลานาง ซึ่งมีสีผิวสีแดงและสีน้ำเงิน ซึ่งนั่นได้บ่งบอกถึงลักษณะของความเป็นคนสยาม ที่ผู้ชายจะมีลายสักตามผิวหนัง ส่วนผู้หญิงนั้นมีผิวเกลี้ยงเกลา ผิวอ่อนนุ่ม ที่มีผิวดำแดง(เหมือนปลานางสีน้ำเงิน) และผิวขาวเหลือง(เหมือนปลานางแดง)

วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของไทย คือการเสี่ยงทาย ซึ่งคนไทยหรือสยาม มีความเชื่อเรื่องโชค ลาง ที่จะบอกเหตุ ซึ่งเป็นการสังเคราะห์ความรู้ทางธรรมชาติมาเป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง การเสี่ยงทายนี้ คนสยามจะบันทึกคนทำนายส่วนใหญ่เป็นบทประพันธ์ เหมือนดั่งตำราดูดวงตามลักขณา การเสี่ยงทายโดยเขย่าติ้วไม้ไผ่ ติ้วใหนที่ร่วงลงกับพื้นก็ก็จะมีตัวเลขกำกับ แล้วนำตัวเลขนั้นไปหยิบเอาใบเซียมซี มาอ่านทำนาย “เซียมซี” เป็นภาษาจีน ที่มีนักภาษาศาสตร์แปลออกมาแล้ว มันยังงงๆ ที่แปล “เซียม” ว่า เป็นการเสี่ยงทาย “ซี” แปลว่า คำกลอน ซึ่งมันไม่ได้สร้างความสมเหตุสมผล(Make Sense) ให้เกิดความรู้สึกร่วมกันคำแปลพวกนี้เลย เหมือนกับเป็นการแปลที่บิดเบือนจากรากเหง้าทางภาษา หากจะแปล “เซียม” แปลว่า “สยาม” มันจะยังมีเค้าของความสัมพันธ์กับคำว่า “ซี” ที่แปลว่า บทกลอน เพราะใบเซียมซี ที่เราไปหยิบมาอ่านตามหมายเลขที่เสี่ยงทายมาได้นั้น เป็นบทประพันธ์ภาษาไทย ก็เลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ในประเทศจีน เขามีการเสี่ยงเซียมซีไหม และใบเซียมซี มีบทกลอนอย่างที่เราเสี่ยงอ่านกันในเมืองไทยไหม

ในข้อสงสัยดังกล่าว จึงขอตั้งสมมติฐานถึงคำแปลที่ควรจะเป็น คือ “เซียม” แปลว่า สยาม  “ซี” แปลว่าบทกลอน นี่คือตำราเสี่ยงทายที่สำคัญที่คนจีนพยายามที่เคลมคำทำนายของคนสยามไปเป็นของฝ่ายตนเพื่อหลอกคนไทยให้หลงเชื่อว่านี่คือภูมิปัญญาของคนจีน

การล่าอาณานิคม ซึ่งจีน อินเดีย ยุโรป เป็นกลุ่มที่มีความพยายามจะรุกรานในการแย่งชิงดินแดนเข้ามาในสยามมาโดยตลอด เมืองเข้ามายึดครองดินแดนได้ ก็พยายามบังคับให้ไทยเซ็นสัญญายอมรับในการปกครองของประเทศผู้ล่า และเปลี่ยประวัติศาสตร์ ด้วยการขนสมบัติและวัตถุโบราณกลับไปประเทศตน แล้วพยายามยกตนเองขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งที่ตนเองนั้นเป็นผู้ขนสมบัติและวัตถุโบราณไป โดยการเขียนเรื่องราวต่างๆ เพื่อยกตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่า ถูกหรือผิด นักวิชาการรุ่นหลังไปอ่านพบ ก็จะยึดเอาสิ่งนั้นเป็นข้อมูลอ้างอิง โดยไม่เคยคิดย้อนในการตรวจสอบข้อมูลที่อ่านจากข้อมูลที่เขียนเพื่อยกตนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ว่าถูกหรือผิด เมื่อความรู้ที่เป็นเสมือนกับกระดุม ที่กรัดกระดุมเม็ดแรกผิด วิชาการของเม็ดกระดุมต่อๆ ไปก็ผิดตามกัน จนทำให้สถาบันทางการศึกษา ก็เชื่อว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกและสืบต่อๆ กันมาเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและถ่ายต่อคนต่อคนไปเรื่อยๆ อย่างผิดๆ

การเปลี่ยนความเชื่อของคนรุ่นหลัง เป็นความพยายามในการสร้างตัวตนให้คงอยู่ของกิเลสแห่งผู้แสวงหาการยกย่องสรรเสริญ ความกระหายอยากของผู้ล่าอาณานิคมที่รุกรานสยามและแบ่งแยกดินแดนสยามไปปกครองและสร้างประเทศที่มีผุ้ปกครองเป็นนอมินีของฝ่ายตน เป็นความพยายามที่จะยังคงอิทธิพลครอบงำเหนือดินแดนที่แยกประเทศออกจากสยาม ความพยายามที่จะลบชื่อสยามออกจากแผนที่โลก และให้ประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์เพียงการเริ่มตันในสมัยสุโขทัย ก็เพื่อสร้างความเชื่อให้กับชาวโลกว่า ผู้ล่าอนาณานิคม มีความชอบธรรมในการปกครองดินแดนประเทศที่ฝ่ายตนแบ่งแยกออกจากประเทศสยามนั่นเอง แต่บรรพชนสยามไม่ได้โง่ที่จะให้สยามถูกลบหายไปจากโลกนี้ สยามยังคงอยู่ยั้งยืนยง เพราะสยาม ไม่ได้มีเพียงแค่ดินแดนและผู้คนที่เป็นสยาม แต่สยามมีทั้งสายพันธุ์ของสัตว์น้ำ มีทั้งชื่อที่เรียกตามดินแดนของสยาม มีทั้งวัฒนธรรมการเสี่ยงทายที่ยังคงเป็นตัวตนอยู่ที่จะคอยชี้บอกชาวโลกว่า “นี่คือสยาม” สำคัญคือลูกหลานไทย จะมีสำนึกต่อความเป็นสยามมากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงหอยลอยตามคราด ที่ยอมระบุว่า “ขอม” คือ “เขมรโบราณ” ภาษา “ขอม” คือ “ภาษาเขมรโบราณ” ตัวเลขไทย คือ ตัวเลขที่เราเอามาจากเขมร ทั้งที่เขมรนับเลขด้วยเลขฐาน5 แต่ไทยเรานับเลขฐาน 10 ยังกับมาตรฐานของหน่วย IS นักวิชาการโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสำนักราชบัณฑิตยสภา ท่านจะยอมให้ความเป็นสยามถูกลบไปจากความเป็นคนไทย จากคนไทยจริงๆ หรือ??...ท่านพร้อมที่จะสังคายนาความจริงของสยามออกมาสู่สาธารณะให้ได้รับรู้ร่วมกันกับคนที่เป็นสยามในกลุ่มชาติพันธุ์ที่แท้จริงแล้วหรือยัง???...