In News

ศาลยธ.แจงสั่งย้ายอธ.ศาลคดีทุจริตภ.1



กรุงเทพฯ-ศาลยุติธรรม ชี้แจง ยึดขั้นตอนปฏิบัติการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินัย มีคำสั่งย้าย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ช่วยทำงานชั่วคราวหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 จากเหตุร้องเรียนคดีเกี่ยว ป.ป.ช.              ระหว่างสอบสวนให้สิทธิแก้ต่างเต็มที่

จากกรณีที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนช่วงระยะหนึ่งเกี่ยวกับคำสั่งย้ายนายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง         ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 สืบเนื่องจากเรื่องที่มีการร้องเรียนกล่าวหาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาคดีหมายเลขดำ อท.84/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่มีรองเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด (นายประหยัด พวงจำปา โจทก์ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที่ 1 น.ส.สุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 2 นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ จำเลยที่ 3) กระทั่งปรากฏข่าวอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช.ความผิดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาฯ และยื่นฟ้องประธานศาลฎีกากล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยนั้น

นายพงษ์เดช  วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวชี้แจงเหตุและขั้นตอนดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นสืบเนื่องจากนายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงการพิจารณา คดีหมายเลขดำ อท.84/2563 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคู่ความและกระบวนการยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรมจึงมีคำสั่งวันที่ 25 มี.ค.64 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว และในวันที่ 26 มี.ค.64 มีหนังสือแจ้งให้นายปรเมษฐ์ ทราบแล้ว

ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงมีความเห็นว่า       มีพฤติการณ์อันส่อว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 77 (1) (3) ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม  พ.ศ. 2543  มาตรา  21  วรรคสอง  ระบุว่า  การสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราวต้องได้รับความยินยอมจากข้าราชการตุลาการผู้นั้นด้วย  เว้นแต่เป็นกรณีที่หากให้ผู้นั้นอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในศาลนั้นต่อไปจะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามระเบียบที่ ก.ต.กำหนด  และเมื่อมีการสั่งในกรณีเช่นนี้แล้วให้ประธานศาลฎีกานำเรื่องเข้าขอความเห็นชอบจาก ก.ต. ในการประชุมนัดแรกนับแต่วันมีคำสั่ง  และเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการกำหนดเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในการสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราว         พ.ศ.2550  ข้อ 3 (10) ระบุว่า การที่ประธานศาลฎีกาเห็นว่าหากจะให้ข้าราชการตุลาการผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ในศาลที่ดำรงตำแหน่งต่อไปแล้วจะเป็นการเสียหายแก่การบริหารราชการศาลยุติธรรม  สมควรให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นไปช่วยทำงานชั่วคราวในศาลอื่น  ประธานศาลฎีกาจึงได้มีคำสั่งให้นายปรเมษฐ์  โตวิวัฒน์  ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม  ที่  371/2564   ลงวันที่  5  เมษายน  2564  ซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมในการประชุมครั้งที่  8/2564  เมื่อวันที่  5  เมษายน  2564  มีมติเห็นชอบคำสั่งดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ การมีคำสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราวเป็นไปเพื่อความสะดวกในการสอบสวน ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทางปฏิบัติของทุกหน่วยงานและเป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 และระเบียบที่เกี่ยวข้อง และประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ นายวีระพงศ์  สุดาวงศ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อีกตำแหน่งหนึ่งแล้ว

เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีนี้ในส่วนของนายปรเมษฐ์ ในฐานะ       ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้มีหนังสือขอความเป็นธรรม ฉบับลงวันที่ 5 เม.ย.64 กรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยผู้ถูกกล่าวหาระบุว่ายังไม่ทราบว่าถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงการพิจารณาคดีในประเด็นและข้อเท็จจริงใด และยังไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามระเบียบฯ      ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้มีหนังสือตอบผู้ถูกกล่าวหาแล้วว่า คณะกรรมการฯ ได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งมีการกำหนดวันเวลานัดตามที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กำหนด แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาและไม่ปรากฏว่าได้แจ้งเหตุขัดข้อง หรือขอเลื่อนนัด ตามกำหนดเวลานัดแต่อย่างใด ประกอบกับคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นโดยสอบปากคำพยานบุคคล และเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนสอบสวนจนเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ และการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้วจึงได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อประธานศาลฎีกา การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นของคณะกรรมการฯ จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมายแล้วตามประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นกรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย พ.ศ.2544

ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้กล่าวสรุปขั้นตอนการสอบสวนกรณีนี้ว่า ขณะนี้กรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวน ของคณะกรรมการสอบสวนตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง (เรื่องการรักษาวินัย โดยสอบสวนว่าข้าราชการตุลาการใด กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่) ซึ่งในการสอบสวนกรณีดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนจะต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และให้สิทธิแก่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง โดยขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนยังไม่ได้สรุปผล ยังใช้เวลาอีกระยะหนึ่งดำเนินการให้ครบถ้วนทุกขั้นตอน ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามขั้นตอนการสอบสวนตามกฎหมาย ประกาศ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ส่วนการขอโอนคดีนั้นมีการยื่นเข้ามา แต่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้พิจารณายกคำร้องไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาสั่งโอนคดี ข้อเท็จจริงจึงมิได้เป็นไปตามที่มีการนำเสนอข่าว

อนึ่ง เนื่องจากขณะนี้ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล การนำเสนอข้อมูลใด ๆ ผ่านสื่อมวลชน จึงควรตรวจสอบและระมัดระวัง มิให้กระทบต่อการพิจารณาพิพากษาของศาล